posttoday

ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ แค่ชนะตัวเองก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” “ไม่อยากทำ”

05 มกราคม 2560

ผ่านงานละครมาหลายเรื่องแต่ชื่อเสียงของ ชิปปี้-ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ เพิ่งจะมาเป็นที่รู้จักในบทบาทนางเอกเต็มตัวเมื่อค่อนปีที่แล้วนี่เอง

โดย...นกขุนทอง ภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล

ผ่านงานละครมาหลายเรื่องแต่ชื่อเสียงของ ชิปปี้-ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ เพิ่งจะมาเป็นที่รู้จักในบทบาทนางเอกเต็มตัวเมื่อค่อนปีที่แล้วนี่เอง จากละครดราม่าเข้มข้น แรงตะวัน ต่อเนื่องด้วยผลงานส่งปลายปีและกำลังออกอากาศในต้นปี 2560 เรื่อง คนละขอบฟ้า

ตอนนี้ชิปปี้กลายเป็นนางเอกขึ้นหม้อช่อง 3 เตรียมเปิดกล้องละคร มาตุภูมิแห่งหัวใจ แสดงนำคู่กับ บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ นอกจากคะแนนความนิยมชมชอบส่วนตัวจากแฟนๆ แล้ว เรื่องฝีมือการแสดงเธอก็มีการพัฒนาขึ้น จากเมื่อก่อนไม่ชอบการแสดงและคิดจะออกจากวงการตั้งแต่เรื่องแรก ถึงตอนนี้เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนใจ เพราะเธอได้เอาชนะตัวเอง ก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” “ไม่อยากทำ”

มีความสุขในสิ่งที่ทำ

ชิปปี้ได้มีโอกาสร้องเพลงประกอบละครคนละขอบฟ้า ในบทเพลง “สุดท้ายก็แพ้”  (คำร้อง : มณฑวรรณ ศรีวิเชียร/ทำนอง : เรืองกิจ ยงปิยะกุล/เรียบเรียง : บุรินทร์ สุภัครพงษ์กุล) ซึ่งชิปปี้เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมากๆ กับประสบการณ์ใหม่นี้ ที่เธอสร้างโอกาสให้ตัวเองด้วย

ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ แค่ชนะตัวเองก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” “ไม่อยากทำ”

 

“คุณพ่อกับคุณแม่ชอบฟังชิปปี้ร้องเพลงมาก จะขอให้ร้องให้ฟังบ่อยๆ ชิปปี้ชอบร้องเพลงแจ๊ซ แต่มักคิดว่าเราร้องไม่เพราะเท่าเขาหรอก เพราะเสียงชิปปี้ฟังเด็กๆ ไม่มีพลัง พอรู้ว่าได้เล่นละครของพี่หนุ่ม (กฤษณ์ ศุกระมงคล) ก็ลองขอพี่เขาร้องเพลงประกอบละคร ไม่รู้ว่าพี่เขาจะให้หรือเปล่า แต่คิดว่าเราชอบร้องเพลง แล้วเสียงเราความสามารถเราคงไม่ถึงขั้นจะไปเป็นนักร้องมีผลงานเพลงของตัวเองได้ คงจะดีถ้าได้เล่นละครแล้วได้ร้องเพลงประกอบละคร ได้มีผลงานเพลงของตัวเองคงดีใจมาก พี่หนุ่มก็บอกไหนร้องให้ฟังสิ แต่ชิปปี้ไม่กล้าร้อง เรื่องก็เงียบๆ ไป จนพี่หนึ่ง (ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์) มาบอกให้ร้องเพลง ตอนนั้นดีใจมากๆๆๆ (ยิ้มกว้าง) เราจะมีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว

ก็มีไปทำการบ้านก่อนเข้าห้องอัด ร้องเพลงให้ครูก้อย (สุภาพรรณ ผลากรกุล) ฟัง ร้องอยู่ 2 ชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่ครูก้อยบอกกับพี่โปรดิวเซอร์ที่คุมตอนอัดเสียงบอกตรงกันคือ ชิปปี้ร้องเพลงไม่มีไดนามิก เสียงร้องเรียบๆ ไม่มีน้ำหนัก และร้องคำไม่ชัด คำไม่กระชับ ร้องเสียงยานๆ ในห้องอัดต้องสตริกต์เป็นคำๆ แต่ฟิลลิ่งเพลงไม่ยากค่ะ เพราะเราเล่นเองร้องเอง อินอยู่แล้ว พอร้องเสร็จดีใจมากได้ฟังเพลงของตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเสียงเราเด็กๆ แต่ก็เพราะดี (ยิ้ม) แล้วเห่อมากค่ะ เจอใครก็ถาม รู้ไหมว่าชิปปี้ร้องเพลงประกอบละคร ได้ฟังเพลงชิปปี้ยังดีใจมากค่ะ ชอบมาก อยากร้องอีก ถึงไม่ได้เล่นละครแต่ถ้ามีใครให้โอกาสร้องก็ยินดีค่ะ”

เรื่องร้องเพลงเป็นโอกาสที่ชิปปี้เปิดให้ตัวเอง และมีความพร้อมที่จะทำงานนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับการแสดงในอดีตชิปปี้ได้รับโอกาสแต่กลับทำมันได้ไม่ดี ไม่ตั้งใจทำ แต่ตอนนี้ความคิดเธอเปลี่ยนไปแล้ว แถมยังดูแลตัวเอง พัฒนาทักษะด้านอื่นๆ เพื่อให้พร้อมรอโอกาสที่จะมาถึงด้วย ซึ่งไม่รู้ละว่าคืออะไร แต่เมื่อมีมาแล้วเธอจะไม่ทำพลาดแบบอดีตอีก

ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ แค่ชนะตัวเองก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” “ไม่อยากทำ”

 

“ตอนนี้ให้คะแนนการแสดงของตัวเอง 70% ค่ะ และก็จะเหลือไว้ 30% แบบนี้ตลอด เพื่อที่จะได้เอาไว้ให้ตัวเองพัฒนาๆ ไปเรื่อยๆ แต่ 4 ปีชิปปี้ได้รู้ว่าการแสดงคืออะไร และเข้าใจ รักในการแสดงมากขึ้น จากเรื่องแรก The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ (ภาค 2 รับบท เบญจา-นางร้ายเรื่องแรก) เล่นไม่เข้าใจ ไม่อยากเล่น ไม่สนุกเลย จบเรื่องนี้จะไม่เล่นอีกแล้ว

ตอนนั้นมาแคสติ้งแล้วได้แบบงงๆ แล้วก็ตกลงเซ็นสัญญากับโมเดลลิ่งไป เป็นช่วงเรียนปี 1 (คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบและการสื่อสาร ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ต้องมาเรียนแอ็กติ้งพอกลับไปเรียนหนังสือก็ไม่มีเพื่อน เพื่อนไปทำกิจกรรมก็ไม่ได้ไป รู้สึกเรียนไม่สนุกเหมือนเป็นคนนอก ก็คิดๆ ว่าทำไมเราไม่เรียนหนังสือ มาเล่นละครทำไม เงินเราก็มี เลยทำให้เราไม่ตั้งใจแสดง

ครูที่สอนแอ็กติ้งก็บอก ทำอันแรกและอันสุดท้ายให้ดีไปก่อน แต่เราเล่นก็ดูประดิษฐ์ ไม่เรียล จนพี่ต้น ผู้จัดละคร (ณฐนนท์ ชลลัมพี) เรียกไปคุยว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะเราเล่นแบบไม่ตั้งใจเลย ตอนนั้นรู้สึกผิดมากหลังจากนั้นก็ตั้งใจ จนท้ายๆ เรื่องก็เริ่มรู้สึกว่า การแสดงคืออะไร เริ่มเล่นได้ เรียลขึ้น แค่เราตั้งใจ ใช้ความพยายามเราก็ทำได้นี่

เมื่อก่อนเวลาเข้าฉากไม่รู้จะเอามือไว้ไหน เวลาไม่มีบทพูดจะทำหน้ายังไง ตอนนี้ไม่รู้สึกเลย เป็นไปตามธรรมชาติ ตอนนี้ชอบการแสดงมาก เพราะการแสดงให้เราเรียนรู้ชีวิตคนอื่น ชิปปี้ขี้สงสัย ชอบเรียนรู้สังเกตคน บางทีขึ้นบีทีเอสก็สังเกตคนแต่งตัวแบบนี้เขาจะมีบุคลิกยังไง พอเรามาเล่นละครเราเรียนรู้แบบออโตเมติก ในบทแบบนี้คนนี้มีวิธีการพูดความคิดยังไง ทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตเพราะตัวละครก็มาจากคนในชีวิตจริง”

ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ แค่ชนะตัวเองก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” “ไม่อยากทำ”

 

ให้เกียรติงาน ให้เกียรติคนรัก

เมื่อก่อนชิปปี้เหนื่อยเป็นลมหมดสติได้ง่ายมาก จะเล่นบทบู๊ยกแข้งยกขา ออกหมัดก็ดูเก้ๆ กังๆ นั้นเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพร้อมที่จะใช้งานหนัก เมื่อเธอรู้จุดอ่อนของตัวเอง จึงต้องพัฒนา เพราะถ้าคิดจะอยู่ในวงการต่อไป ร่างกายต้องพร้อมสามารถรับงานได้ทุกบทบาท

“ตอนนั้นไม่มีพลัง เวลาบู๊มันจะมีฟุตสเต็ป แต่ขาชิปปี้ไม่ขยับ ทำฟุตเวิร์กไม่ได้ ต่อยต้องมีเสียงฮุก ฮะ แต่เราทำท่าได้เสียงไม่ได้ ถ้าเราอยากทำงานในวงการ การต่อยมวยช่วยให้เราเรื่องมูฟเมนต์ เหมือนเรารู้สึกว่า เราด้อยกว่าคนอื่นแต่เราไม่ขี้อิจฉา ดังนั้นเราจะพยายามทำตัวเองให้ดีขึ้น เวลาทำไม่ได้เราจะรู้สึกอาย คนอื่นทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ ก็มีออกกำลังกายต่อยมวย คาดิโอ เวตเทรนนิ่ง ออกกำลังกายจริงจังมา 4 ปีแล้ว

เมื่อก่อนพ่อแม่ชวนออกกำลังกายไม่อยากไป ทุกครั้งที่เดินเร็วจะเป็นลม ไม่มีเหงื่อ พอต่อยมวยไปเรื่อยๆ เหงื่อเริ่มออกหน้า ออกหลัง เหงื่อออกเยอะมาก ทำให้เราเรียนรู้ร่างกายตัวเองมากขึ้น พอร่างกายเราเฮลตี้ความคิดเราเฮลตี้ด้วย ออกกำลังกายแล้วรู้สึกสดชื่นมีออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ทำให้เรารู้สึกร่างกายเราดีชีวิตดี พอเราเฮลตี้ก็มีกำลังใจทำงาน ที่จริงการออกกำลังกายไม่ยากเท่ากับบังคับตัวเองไปออกกำลังกาย ชิปปี้ต้องหาวิธีเอาชนะใจตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาเราสปอยตัวเองพอสมควร แต่ต้องปรับต้องโกรธตัวเอง ถ้าเราปล่อยให้ความขี้เกียจมาเอาชนะเราก็จะอ่อนแอ เราก็จะเป็นนังอ้วน”

ศิรินทร์ ปรีดียานนท์ แค่ชนะตัวเองก้าวข้ามคำว่า “ทำไม่ได้” “ไม่อยากทำ”

 

ละครคนละขอบฟ้า เป็นแนวโรแมนติกดราม่า ครั้งแรกกับการจับคู่ เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์ เรื่องนี้มีฉากกุ๊กกิ๊กเข้าพระเข้านาง จนมีเสียงเชียร์ให้เป็นคู่จิ้นกัน ซึ่งจิ้นในจอน่ะได้ แต่ถ้านอกจอชีวิตจริงชิปปี้มีหวานใจหนุ่มฝรั่งเศส “อองตวน ปินโต” เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว ดีกรีนักมวยไทยไฟต์แบบนี้ ใครจะกล้าเข้ามาแทรกความหวาน

“คนสองคนต้องเคารพกันและกัน ที่ชิปปี้เลือกที่จะเปิดว่ามีแฟนแล้ว คบหากับพี่อองตวน เพราะไม่มีอะไรจะปิด มันคือการให้เกียรติเขา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราเป็นแฟนกัน เป็นนางเอกต้องไม่มีแฟนจะได้ไปจิ้นกับพระเอกในละครได้ ชิปปี้มองว่า การทำงานของหนูทำให้ดีขึ้นไม่ใช่แย่ลง

ถ้าเราทำงานเพื่อความสุขของเรา มีเงินคือความสุข เราทำงานเจอคนในกองถ่ายมีความสุข มีความรักกับพี่อองตวนคือความสุข ดังนั้นชิปปี้ไม่ปิดบัง การมีแฟนมีคนเดียวดูดีกว่าไปจิ้นกับคนนี้ทีจิ้นคนนั้นที ถ้าจับชิปปี้จิ้นในละครกับใครชิปปี้ยินดีนะคะ แต่ในชีวิตจริงจะไม่ปิดบัง เราต้องให้เกียรติคนที่เราคบและให้เกียรติตัวเองด้วย”

รักกันเปิดเผยขนาดนี้ ชิปปี้ได้วางแผนอนาคตไว้แล้ว “อยากมีครอบครัวแต่งงานตอนอายุ 26, 27 ไม่เกิน 30 ปี (ตอนนี้อายุ 23) เพราะอยากเลี้ยงลูกตอนที่เลี้ยงแล้วสนุก อยากให้ลูกโตมาแล้วเราไม่แก่เกินไป ก็คุยๆ กันแบบไม่ซีเรียส ตอนนี้พี่อองตวนอายุ 26 แต่ก็รอดูตอนชิปปี้อายุ 27 ว่าจะเลื่อนไปอีกหรือเปล่า แต่ความคิดอยากแต่งงานเร็วมีลูกเร็วชิปปี้คิดมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ”

เป็นอีกนางเอกเบอร์ใหม่ของช่อง 3 ที่นำพาความสดใสมาสู่หน้าจอ และเป็นอีกหนึ่งคนที่พิสูจน์แล้วว่า ถ้าตั้งใจ พยายาม ก็สามารถเอาชนะความยากได้ และต้องเพิ่มความรักความสนุกลงไปในสิ่งที่ทำ ยิ่งส่งผลให้งานออกมาสมบูรณ์