posttoday

หุ้นไทย17พ.ย.ปิดบวก0.79จุด

17 พฤศจิกายน 2559

ดัชนีหุ้นไทย 17 พ.ย.ปิดที่ 1,473.85 จุด ลดลง 0.79 จุด มูลค่าซื้อขาย 51,297 ล้านบาท

ดัชนีหุ้นไทย 17 พ.ย.ปิดที่ 1,473.85 จุด ลดลง 0.79 จุด มูลค่าซื้อขาย 51,297 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,473.85 จุด ลดลง 0.79 จุด หรือ 0.05% มูลค่าซื้อขาย 51,297 ล้านบาท

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้   เปิดเผยว่า เป็นที่แน่นอนเกือบจะ 100% ว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) ในวันที่ 13-14 ธันวาคมศกนี้ น่าจะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.50-0.75% จากเดิม 0.25-0.50% ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ 

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้   เปิดเผยว่า เป็นที่แน่นอนเกือบจะ 100% ว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Fed) ในวันที่ 13-14 ธันวาคมศกนี้ น่าจะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.50-0.75% จากเดิม 0.25-0.50% ถือว่าเป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ 

อย่างไรก็ดีจากผลการศึกษาในอดีต พบว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด มักส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวลงในช่วง 1-3 เดือนแรก ตามการไหลออกของเม็ดเงินลงทุน (Fund Flow) ที่กลับไปยังสหรัฐฯ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนตราสารเงินและตราสารหนี้ที่สูงขึ้น แต่สำหรับผลกระทบในรอบนี้อาจไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ชุดนี้ค่อนข้างที่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งแตกต่างจากวงจรการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในอดีต ที่มักเป็นการปรับขึ้นแบบต่อเนื่อง และสิ่งสำคัญมองว่า เพียงแค่การขึ้นดอกเบี้ยนั้นอาจจะยังไม่ได้เป็นการไล่สภาพคล่องในระบบให้ออกมามากนัก เพราะสหรัฐฯ ยังคงมีสภาพคล่องส่วนเกินค่อนข้างมาก

"เราประเมินว่าปัจจัยที่น่ากังวลมากกว่า คือการที่เฟดอาจยุติการลงทุนซ้ำ (Reinvest) ในตราสารที่เคยเข้าซื้อตามโครงการ QE ที่หมดอายุลง ซึ่งจะเป็นการลดทอนสภาพคล่องในตลาดที่สำคัญ อย่างไรก็ดี คาดว่าจะยังไม่เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้"นายณัฐชาต กล่าว

สำหรับผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ภายหลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด พบว่ามักปรับตัวอ่อนค่าลงโดยเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนหลังจากนั้น เนื่องจากถูกขายทำกำไร ซึ่งจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่านี้ จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งทองคำและน้ำมันให้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ประเมินว่าในปี 2560 ราคาทองคำจะได้แรงหนุนอื่นจากภาระหนี้สหรัฐฯ และระดับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการเร่งใช้จ่ายนโยบายการคลังในยุคสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนราคาน้ำมันคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นได้อีกเล็กน้อยตามการปรับตัวเข้าสู่สมดุลของระดับอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงการจับมือร่วมกันลดกำลังการผลิตระหว่างกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ที่เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่

1.BANPU ปิดที่ 18.20 บาท ลดลง -0.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,712.44  ล้านบาท
2.CPF ปิดที่ 27.75 บาท ลดลง -1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,202.59   ล้านบาท
3.DTAC ปิดที่ 36.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,799.94   ล้านบาท
4.TRUE ปิดที่ 7.15 บาท ลดลง -0.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,684.74  ล้านบาท
5.SCC ปิดที่ 472.00 บาท ลดลง -6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,625.37   ล้านบาท