posttoday

กลุ่มพลังงาน คาดไตรมาส 2 แผ่ว

29 พฤษภาคม 2560

ไตรมาส 2 กำไรกลุ่มนี้คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก และเป็นกำไรที่ต่ำสุดของปี

โดย..ทีมข่าวหุ้น-ตลาดทุนโพสต์ทูเดย์

ไตรมาสแรกที่ผ่านมากลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทำกำไรก้าวกระโดดเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะการปรับขึ้นของราคาน้ำมันจาก 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นกว่า 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ไตรมาส 2 กำไรกลุ่มนี้คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก และเป็นกำไรที่ต่ำสุดของปี นั่นจะสะท้อนกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 2 ไปด้วย เนื่องมาจากไตรมาสแรกที่ผ่านมากลุ่มนี้ดัน บจ.ทั้งตลาดกำไรทะยาน

ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ผลประกอบการ บจ.ไตรมาสแรกดี จากหมวดทรัพยากรในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สอดคล้องกับการเติบโตการซื้อขายหุ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่หมวดนี้เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ 38.5% นอกจากนั้นยังมีน้ำหนักหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ต่อตลาดมากเป็นอันดับ 2 ที่ 19% โดยนับว่าหมวดนี้มีน้ำหนักต่อตลาดลดลงแล้วเมื่อเทียบกับในอดีต

นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2560 ของกลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีไม่มีอะไรโดดเด่น อาจอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรก กดดันกำไรกลุ่มลดลง ดังนั้นจึงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีโดยภาพรวมเท่าตลาด

ไตรมาสแรกเป็นช่วงที่ทั้งค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาวัตถุดิบและราคาผลิตภัณฑ์ (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอยู่ในระดับสูง โดยค่าการกลั่นจะอ่อนตัวลงตามฤดูกาลตั้งแต่ไตรมาส 2 ต่อเนื่องในงวดไตรมาส 3 และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงปลายงวดไตรมาส 4

สำหรับผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีน (PE) คาดว่าในงวดไตรมาส 2 จะยังทรงตัวได้ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสแรกรับอานิสงส์จากช่วงหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. แต่คาดว่าในช่วงปลายไตรมาส 2 จะเริ่มกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลัง ส่งผลให้สเปรดช่วงครึ่งปีหลังอ่อนตัวลงเทียบช่วงครึ่งปีแรก

ไตรมาส 2 ผลิตภัณฑ์กลุ่มโพรพิลีนจะลดลงจากงวดไตรมาสแรก เนื่องจากการกลับมาเดินเครื่องของหน่วย PDH ในจีน หลังจากมีการหยุดซ่อมบำรุง กำลังการผลิต 1.6 ล้านตัน ในงวดไตรมาสแรก รวมถึงกลุ่มอะโรเมติกส์นั้น คาดจะเห็นสเปรด ผลิตภัณฑ์เริ่มอ่อนตัวลงตั้งแต่งวดไตรมาส 2 โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์เบนซินคาดจะถูกกดดันจากการผลิตใหม่จากจีน แต่เชื่อว่าจะยังอยู่ในระดับสูงเกิน 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะความต้องการนำเข้าเบนซินของจีนยังสูงเพื่อเพิ่มระดับสต๊อก

ด้านผลิตภัณฑ์พาราไซลีน จะเริ่มเห็นแรงกดดันจากการผลิตใหม่จากอินเดีย 9.5 แสนตัน/ปี จะกดดันกำไรกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีและในงวดไตรมาส 2 PTTGC มีแผนซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง

กำไรงวดไตรมาส 2 กลุ่มนี้มีแนวโน้มทำระดับต่ำสุดของปี ยกเว้น บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) แม้สเปรดโดยภาพรวมจะอ่อนตัว แต่ได้รับอานิสงส์หลักจากการกลับมาเดินเครื่องโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีได้เต็มที่หลังจากหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงครั้งใหญ่กว่า 1 เดือนไปในงวดไตรมาสแรก

ดังนั้น คาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันกำไรในช่วงที่เหลือของปีลงได้ เช่นเดียวกับ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ที่แนวโน้มกำไรปกติงวดไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก หนุนโดยปริมาณขายที่กลับสู่ภาวะปกติหลังจากงวดไตรมาสแรกที่มีการหยุดซ่อมบำรุง เช่นเดียวกับสเปรดผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะกลุ่ม PET ทางฝั่งตะวันตกที่เริ่มเห็นสัญญาณกระเตื้องขึ้นในเดือน มี.ค. 2560 รวมถึงสเปรดผลิตภัณฑ์ EOEG ในสหรัฐที่ยังคงเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คาดน่าจะเป็นบวกต่อสเปรดรวมของ IVL

ทิศทางราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะขึ้นไปเฉลี่ยที่ 56-57 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราคาเฉลี่ยทั้งปีราคาน้ำมันดิบดูไบ 55 เหรียญสหรัฐ จาก 41 เหรียญสหรัฐ ในปี 2559 จากแนวโน้มการยืดระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) ต่อไปอีก 9 เดือน ประกอบกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมันและปริมาณการผลิตเข้าสู่ภาวะสมดุลได้เร็วขึ้น

สำหรับระยะยาวให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มพลังงานปิโตรเลียมมากกว่าตลาด โดยเน้นไปที่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บริษัท ปตท. (PTT) IVL และ IRPC