posttoday

หุ้นปันผลซื้อถูกจังหวะ รับทั้งกำไรและผลตอบแทน

21 กุมภาพันธ์ 2560

จังหวะการเข้าซื้อเพื่อรับเงินปันผลและรับกำไรจากส่วนต่างราคาที่ถือว่ามีสำคัญนักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นในช่วงจังหวะไหน

โดย...ยินดี ฤตวิรุฬห์

ช่วงเดือน ก.พ. 2560 เป็นต้นไป ถือว่าเป็นฤดูกาลของการประกาศผลดำเนินงานประจำปี 2559 และการประกาศจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

หากดูสถิติของปีที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่ดีมาก โดยในรอบผลดำเนินงานปี 2558 ที่มีการประกาศผลในปี 2559 พบว่า บจ.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ  406 แห่ง คิดเป็น 66% ของ บจ.ทั้งหมด จ่ายเงินปันผลปี 2558 รวม 3.81 แสนล้านบาท  (ณ วันที่ 11 มี.ค. 2559) สูงเป็นประวัติการณ์และมีอัตราการจ่ายปันผล (Dividend payout ratio) สูงกว่า 60% เช่นกัน ในปีนี้เม็ดเงินการจ่ายปันผลของ บจ.ก็ไม่น่าจะน้อยไปกว่ารอบปีที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับมากกว่า 3 แสนล้านบาท

จังหวะการเข้าซื้อเพื่อรับเงินปันผลและรับกำไรจากส่วนต่างราคาที่ถือว่ามีสำคัญนักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นในช่วงจังหวะไหนจะซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD และจะขายหลังขึ้น XD อย่างไร

บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน (CNS) ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ในการแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนที่หุ้นที่คาดว่าจะมีการประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งปีหลังของปี 2559 ที่ให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในอัตราที่ 4% และยังเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดีในปีนี้และถือเป็นกลยุทธ์ในการลงทุนใน 1-2 เดือน

กลยุทธ์หุ้นปันผลหุ้นขนาดใหญ่ ให้นักลงทุนเข้าซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมายซื้อ XD สั้นๆ 2 สัปดาห์และขายหลัง XD  1-2 สัปดาห์ ก็ให้ก็จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนในระดับน่าพอใจ 2.8-3.9%

“ผลการศึกษาด้านราคาของหุ้นปันผลย้อนหลัง 8 ปี พบว่ากลยุทธ์สําหรับหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ควรซื้อ ก่อนขึ้น XD ระยะสั้นเพียง 2 สัปดาห์ และขายหลัง XD 1-2 สัปดาห์ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าพอใจราว 2.5-3.9% เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหุ้นนําดัชนี ซึ่งราคาหุ้นมักจะผันผวนตามภาวะตลาด การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากปันผลจึงควรลงทุนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

กลยุทธ์หุ้นปันผลขนาดกลางและเล็ก นักลงทุนควรสะสมก่อน XD 2 เดือน และขายหลัง XD 1-2 สัปดาห์จะให้ผลตอบแทนสูง 9.2-9.6% ซึ่งในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กควรซื้อในช่วงที่ยาวกว่า

โนมูระพัฒนสิน ระบุว่าหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ น้อยที่สุด เมื่อดูจากการขายของต่างชาติที่ขายไปแล้ว นับจากวันที่ 23 ก.ย. 2559-ปัจจุบัน ทําให้สัดส่วนของต่างชาติที่ถือหุ้นไทยลดลงเหลือ 33.3% ใกล้ค่าเฉลี่ยระยะยาว 33.1% ช่วยจํากัดความเสี่ยงและเห็นโอกาสที่เงินต่างชาติจะไหลเข้ามาหุ้นไทยอีกครั้งหลังพ้นการปรับพอร์ต

ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเฉพาะตัว 1) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2) อานิสงส์บวกของการฟื้นตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ต่อเศรษฐกิจ และ 3) โครงการภาครัฐที่หนุนรายได้เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการจํานําข้าว การเพิ่มค่าแรงขันต่ำ และการแจกเงินเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนการสิ้นสุดของโครงการรถคันแรกจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

CNS ประเมินกําไรตลาดปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 105 บาท/หุ้น เติบโต 12.6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาโดยวางดัชนีเป้าหมายที่ 1,654 จุดพี/อี ที่ 15.75 เท่า หรือมีโอกาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 9.53%

สำหรับการลงทุนเด่นในปีนี้ อิงเศรษฐกิจโลกและเงินหมุนเวียนของโลกเลือก พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ไออาร์พีซี (IRPC) เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) บริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO) น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) ซีพีออลล์ (CPALL) ช.การช่าง (CK) ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เป็นหุ้นเด่น และส่วนหุ้นกลางและเล็ก ปีนี้ที่ STPI, BRR, เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) นามยง เทอร์มินัล (NYT) ไพลอน (PYLON)