posttoday

ค้าปลีกพลังงานรุ่ง

16 มกราคม 2560

การพัฒนาที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้มีการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)  ธนชาต ยังคงชอบธุรกิจค้าปลีกมากที่สุดในกลุ่มหุ้นพลังงาน เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตที่น่าดึงดูด โดยมีโครงสร้างของการเติบโตของความต้องการที่ดี และได้รับความสนใจจากตลาดโดยมีผู้เล่นสำคัญที่สามารถนำไปสู่กำไรที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้มองว่าการนำหุ้นเข้าตลาดของบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) จะเป็นกุญแจไปสู่มุมมองที่ดีต่อการปลดล็อกมูลค่า และมีโอกาสสูงที่ผู้เล่นรายอื่นจะนำหุ้นเข้าตลาดตามรอย PTT

การขยายตัวของอัตรากำไรเร่งการเติบโตค่าการตลาดจะยังคงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 1.8 บาท/ลิตร หรือสูงกว่าในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า เนื่องจากอัตราการแข่งขันที่น้อยลงและด้วยหนี้ในการดำเนินงานที่สูง มองว่าการเพิ่มขึ้นของค่าการตลาดจะนำไปสู่การเร่งการเติบโตของกำไร โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันค้าปลีก เช่น บริษัท ซัสโก้ (SUSCO) ราคาเป้าหมาย 3.4 บาท แนะนำให้ซื้อ และบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ราคาเป้าหมาย 31.75 บาท แนะนำขาย

ทั้งนี้ เห็นแรงส่งที่แข็งแรงสนับสนุนการเติบโตของปริมาณการขาย 4-5% ในไม่กี่ปีต่อจากนี้ จากอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ในไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรามองว่าผู้บริโภคจะยังคงเปลี่ยนจากก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีกลับมาใช้แก๊สโซลีนและดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลัก เนื่องจากการประหยัดค่าใช้จ่ายที่ลดลง และความไม่สะดวกในการใช้แอลพีจีและเอ็นจีวี และการพัฒนาที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนให้มีการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิงจากกลุ่มเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

นักวิเคราะห์ บล.ธนชาต ยังคงชอบ ESSO มากที่สุดในกลุ่มหุ้นพลังงาน โดยซื้อ-ขายที่สัดส่วนราคาต่อกำไร 7 เท่า ในขณะที่มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 31% และ ESSO ได้มีการพัฒนาธุรกิจน้ำมันค้าปลีกโดยการขยับตัวเข้าใกล้การเป็นดีลเลอร์ และได้ลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ในขณะที่ได้ส่วนแบ่งของตลาดที่เคยเสียไปคืน และชอบ SUSCO มากที่สุดสำหรับธุรกิจค้าปลีกน้ำมันโดยตรง เนื่องด้วย SUSCO มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นในปี 2560 อยู่ที่ 26% ในขณะที่มีการซื้อ-ขายอยู่ที่ราคาต่อกำไร 11 เท่า โดย SUSCO ถูกกว่า PTG ซึ่งเป็นหุ้นที่ชื่นชอบของตลาด และมีการซื้อ-ขายที่ราคาต่อกำไร 35 เท่า หลังจากที่ได้สะท้อนการเติบโตของกำไรต่อหุ้นในปี 2560 ที่ 50% แล้ว

ล่าสุด บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ลดแผนลงทุน 5 ปี ส่งผลให้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 80 บาท เป็น 101 บาท/หุ้น

การลดงบลงทุนของ PTTEP ส่วนใหญ่เป็นการเลื่อนโครงการที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจลงทุนออกไปจากแผนเดิม ทั้งนี้ราคาปัจจุบันได้สะท้อนมุมมองราคาน้ำมันที่ประมาณ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ไปแล้ว จึงยังคงคำแนะนำถือ

เมย์แบงก์ชอบ PTT มากกว่าจากมุมมองเชิงบวกระยะสั้นจากแนวโน้มผลประกอบการหนุนโดยธุรกิจก๊าซปัจจัยบวกระยะกลางจากแผนการนำ PTTOR เสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) และการเติบโตระยะยาวผ่านการลงทุนท่อก๊าซเส้นที่ 5 และลงทุนท่ารับแอลเอ็นจีเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นหุ้น PTTEP ยังคงผันผวนสูงตามราคาน้ำมัน เชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้อาจพิจารณาเก็งกำไร PTTEP อ้างอิงจากความอ่อนไหวทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ที่ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงจากสมมติฐานที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลต่อกำไรปีนี้ 4.8% และต่อราคาเป้าหมายประมาณ 2 บาท/หุ้น

PTTEP แจ้งแผนการลงทุน 1 ปี (2560-2564) เท่ากับ 14,950 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นรายจ่ายลงทุน 8,842 ล้านเหรียญสหรัฐ และรายจ่ายดำเนินงาน 6,108 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากงบ 5 ปีในปีที่ผ่านมาที่ 17,765 ล้านเหรียญสหรัฐ (รายจ่ายลงทุน 11,097 ล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นผลจากการชะลอการลงทุนในบางโครงการ การปรับลดต้นทุนต่างๆ รายจ่ายลงทุนส่วนใหญ่ยังเป็นเน้นโครงการในประเทศ 64% และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 24% ของงบลงทุนทั้งหมด

สำหรับเป้าการขายปี 2560 ถูกปรับลดลง 2.5% จากการขายสัดส่วนโครงการโอมาน และการผลิตที่ลดลงของโครงการเวียดนาม 16-1 ขณะที่มีการปรับเพิ่มเป้าการผลิตปี 2562 ขึ้น 4.9% จากการเพิ่มการผลิตของโครงการบงกชจากการขุดหลุมเพิ่มเติมก่อนที่ปริมาณขายจะลดลงในปี 2564

เมย์แบงก์ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2559-2561 ขึ้น 33.5% 12.9% และ 27.3% เป็น 19,386, 26,808 และ 30,775 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ที่ทำได้ดีกว่าเป้าหมาย