posttoday

ผลประกอบการ หุ้นไทยไตรมาส2

10 สิงหาคม 2560

โดย...พรทิพย์ ทันตสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บล.ภัทร

โดย...พรทิพย์ ทันตสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บล.ภัทร

ในเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ มาผลักดันตลาด นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยเป็นฝั่งซื้อสุทธิ

บริษัทจดทะเบียนเริ่มประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแล้ว โดยเริ่มที่ธนาคารเป็นกลุ่มแรก ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าที่คาด ส่งผลให้นักวิเคราะห์เริ่มปรับลดประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการออกมาแย่กว่าที่คาดก็คือธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น อยู่ในระดับที่สูงและค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันลดลงอย่างมาก

ธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งที่ บล.ภัทร วิเคราะห์ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารทหารไทย (TMB) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และบริษัท ทุนธนชาต (TCAP) มีกำไรสุทธิรวมลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 15% จากไตรมาสแรก

หลังจากผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมา ตลาดมองว่าปัญหาคุณภาพของสินเชื่ออาจจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีกและอาจเป็นประเด็นกดดันราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร รวมทั้งอัตรากำไรต่อทุน (อาร์โออี) ที่ยังลดลงจากอดีตที่เคยสูงกว่า 15% เมื่อปี 2558 เหลือเพียง 11% ในไตรมาส 2 ของปีนี้

นอกจากนี้ ประเด็นที่อาจกดดันหุ้นกลุ่มธนาคาร ได้แก่ 1) ผู้บริโภคมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง 2) นโยบายกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เข้มงวดมากขึ้น และ 3) การลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มชะลอตัว เราจึงยังคงแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร

ในส่วนของกลุ่มสื่อสารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) มีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าที่คาด ADVANC มีรายได้ค่าบริการเติบโตดีกว่าที่คาดและค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงข่ายต่ำกว่าที่คาด ส่วน DTAC ก็ได้ลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและด้านการดำเนินงานลงอย่างมาก เรายังคงประมาณการกำไรและคำแนะนำ ซื้อหุ้น ADVANC ที่ราคาเป้าหมาย 205 บาท ชอบ ADVANC เนื่องจากเชื่อว่าการลงทุนโครงข่ายข่าย การสร้างแบรนด์ และดิจิทัลคอนเทนต์น่าจะผลักดันให้รายได้เติบโตในระยะยาว

สำหรับกลุ่มพลังงานเริ่มด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งมีผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาต่ำกว่าที่คาด โดยกำไรสุทธิลดลง 39% จากไตรมาสแรกเนื่องจาก

1) ภาษีนิติบุคคลสูงขึ้น 2) ปริมาณการผลิตลดลงเนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงแหล่งบงกชและปิดแหล่ง S1 ชั่วคราวจากประเด็นทางกฎหมาย และ 3) ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้นเล็กน้อย แต่เราก็คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังชอบหุ้นบริษัท ปตท. (PTT) ราคาเป้าหมาย 404 บาท มากกว่า PTTEP เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มสดใสกว่าจากธุรกิจก๊าซ

สำหรับบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กำไรสุทธิไตรมาส 2 ก็ออกมาน้อยกว่าที่คาดเช่นกันเนื่องจากกำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ชะลอตัว ทำให้กำไรสุทธิก่อนหักรายการพิเศษลดลง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 15% จากไตรมาสแรกในขณะเดียวกัน ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว เราคาดว่าแนวโน้มการเติบโตกำไรในปี 2561 น่าจะชะลอตัวและผลต่างราคาเคมีภัณฑ์จะลดลงจากการที่มีอุปทานใหม่เข้ามาในตลาดโลก

บริษัทจดทะเบียนจะทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ไปจนถึงกลางเดือน ส.ค.นี้ คาดว่าบริษัทที่ผลประกอบการได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศอย่างกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์น่าจะมีผลประกอบการแย่ลงในไตรมาส 2 ปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวลง ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีซึ่งก็น่าจะมีผลประกอบการแย่ลง เนื่องจากผลต่างราคาเคมีภัณฑ์ลดลง

แต่ผลประกอบการของธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวอย่างกลุ่มโรงแรมและกลุ่มขนส่งน่าจะเติบโตดีเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยมากขึ้น โรงพยาบาลในตลาดระดับกลางก็น่าจะมีกำไรเติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน เนื่องจากมีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ เพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาเรายังคงแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

มองว่าโอกาสที่ตลาดจะปรับขึ้นไปมากมีไม่มากนัก ยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2560 ไว้ที่ 1,600 ตัวเลขประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2560 ของตลาดถูกปรับลดลงมาเหลือ 101 บาท จาก 107 บาท เมื่อเดือนม.ค. (การเติบโตของกำไรจากปีก่อนลดลงเหลือ 6% จากเดิม 10% ที่คาดไว้เมื่อตอนต้นปี 2560) ส่งผลให้สัดส่วนราคาต่อกำไรในอนาคตของตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 14.6 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 11.8 เท่า

แนะนำนักลงทุนพิจารณากระจายการลงทุนไปต่างประเทศบ้าง สำหรับการลงทุนในหุ้นไทย นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้ที่ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูง เช่น โรงไฟฟ้าและกลุ่มสื่อสาร เรายังคงแนะนำให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด สำหรับหุ้นขนาดเล็กที่แพงรวมถึงหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท เช่น บริษัทส่งออก เป็นต้น