posttoday

ตลาดหลังสงกรานต์

17 เมษายน 2560

โดย...ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย

โดย...ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย

การขึ้นพูดของเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2560 ที่ผ่านมา ไม่ได้แตกต่างไปจากที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้า เยลเลนยังคงมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่ง การจ้างงานเต็มศักยภาพจากอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ 4.5% ขณะที่เงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมาย 2% และการปรับดอกเบี้ยขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปคือแนวทางที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้ เยลเลนไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป และไม่ได้กล่าวถึงการปรับลดงบดุลของเฟด

เงินเหรียญสหรัฐถูกขายออกมาเล็กน้อย หลังการขึ้นแถลงของ เยลเลน ไม่ได้มีการส่งสัญญาณในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 2-3 พ.ค. 2560 รวมไปถึงยังไม่เปิดสัญญาณการลดงบดุลของเฟดออกมา ซึ่งโทนของประธานเฟด ยังไม่มีอะไรที่จะทำให้ตลาดกังวลมากไปกว่าเดิม US Dollar Index น่าจะกลับไปทรงตัวอยู่ในกรอบ 100.7-101.4 ลดความผันผวนของสกุลอื่นๆ เงินบาทไทยน่าจะทรงตัว 34.5-34.7 บาท/เหรียญสหรัฐไปอีกระยะ และทำให้เงินต่างชาติไม่น่ามีการไหลออกในช่วงระยะสั้นนี้ อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามการขึ้นพูดบนเวทีต่างๆ ของประธานเฟดแต่ละสาขา หากมีการพูดถึงการลดขนาดงบดุลมากขึ้น จะทำให้ตลาดกลับมากังวลการประชุม FOMC ในวันที่2-3 พ.ค. 2560 กันอีกครั้ง

การที่เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส คาร์ล วินสัน และฝูงเรือรบของสหรัฐ ได้แล่นเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคาบสมุทรเกาหลี ก่อให้เกิดความกังวลว่าจะบานปลายและมีการสู้รบระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือเกิดขึ้น ความเสี่ยงของสถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินทุนต่างชาติยังไม่ไหลกลับไปยังกลุ่มตลาดพัฒนาแล้วในเอเชีย อย่างกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อตลาดเกิดใหม่เอเชียที่เงินต่างชาติกำลังไหลเข้ามาในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ (TIP) นักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิในอินโดนีเซีย 67.27 ล้านเหรียญ สหรัฐ และฟิลิปปินส์ 9.38 ล้านเหรียญสหรัฐ สวนทางกับการขายพวกเอเชียเหนืออย่างไต้หวันถูกขาย 14.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ 91.9 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อมองภาพในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบว่า Fund Flow มีการเคลื่อนย้ายออกจากตลาดพัฒนาแล้วอย่างเอเชียเหนือลงสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง TIP ต่างชาติซื้อสุทธิ 5 วันติดต่อกันทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์รวมกันกว่า 468.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ขายสุทธิทั้งไต้หวันและเกาหลีมา 3 วันติดต่อกันรวมกว่า 359 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในส่วนของไทย ต่างชาติซื้อสุทธิในช่วง 5 วันที่ผ่านมายังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เพียง 60.8 ล้านเหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับมูลค่าการซื้อขายในตลาดที่หดเหลือ 3 หมื่นล้านบาท (ต่ำกว่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีที่ 4.7 หมื่นล้านบาทค่อนข้างมาก) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการชะลอลงทุนก่อนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระนั้นเมื่อผ่านช่วงเทศกาลไปแล้ว มีความเป็นไปได้ที่เงินต่างชาติจะเข้าตลาดหุ้นไทย (SET) ในช่วงสั้น จากการที่ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับเพิ่มมาตั้งแต่ต้นปีเพียง 2.5% เรียกได้ว่ายังเคลื่อนไหว Laggard มาก เมื่อเทียบกับ MSCI Asia Emerging Market ที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 12.2% ตั้งแต่ต้นปี PSE Index ของฟิลิปปินส์ 11.4% และ IDX Index ของอินโดนีเซีย 6.6%

จากสถิติ 6 ปีที่ผ่านมา SET Index มักจะมีการปรับเพิ่มขึ้นหลังจากผ่านช่วงเทศกาลสงกรานต์ (วันที่ 13-15 เม.ย.) ไปแล้ว 1-2 สัปดาห์ ด้วยความน่าจะเป็น 83% โดย SET Index จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 1.8% กลุ่มอุตสาหกรรมที่โอกาสปรับเพิ่มขึ้นตาม SET ในช่วง 2 สัปดาห์หลังสงกรานต์จะไล่ตั้งแต่วัสดุก่อสร้าง (ขึ้นทุกปี) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.77% ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้น 5 จาก 6 ปีคือ สื่อสาร ปิโตรเคมี การเงิน โรงพยาบาลขนส่ง และเกษตร โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.46% 3.38% 3.00% 2.76% 2.67% และ 1.22% ตามลำดับ โดยกลุ่มหุ้นที่มีความน่าจะเป็นที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกและยังมีโอกาสปรับขึ้นสูงเกิน 10% จะมีตัวที่น่าสนใจคือ GLOBAL IVL CPN PTTEP BBL KCE BJC AP SPALI CPALL CK LH CENTEL DEMCO BCH HMPRO KTB