posttoday

ก่อนลาออกมาทำธุรกิจ

15 มีนาคม 2560

โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง

โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง

ยุคนี้กระแสการทำธุรกิจส่วนตัวแรงมาก ...สตีฟ จ็อบส์ กล่าวว่า อย่ามัวเสียเวลาทำตามความฝันของคนอื่น!!

โอโห ว่าแล้วก็เขียนจดหมาย เดินไปที่โต๊ะของผู้จัดการ แล้ววางโป๊ะ !! “ลาออกครับ”

ผู้จัดการถามว่า : “เฮ้ย!! แล้วจะไปทำมาหากินอะไร เดี๋ยวก็อดตายหรอก”

ตัวเรา : “ผมเชื่อพี่สตีฟ ...คนเราจะมานั่งทำฝันของคนอื่นทำไม?”

ผู้จัดการ : “ฮึม!! โอเค กรูเซ็นอนุมัติเลยละกัน ...อะนี่ อนุมัติ โชคดีนะ สมชาย!!”

(เฮ้ย!! ทำไม อิสรภาพมันทำไมง่ายถึงเพียงนี้ จากที่ต้องทนหัวหน้าดุด่า ทนเพื่อนร่วมงานที่แก่งแย่งเอาหน้า ...จากนี้ไป ผมจะมีอิสรภาพที่จะทำอะไรก็ได้ จะไปตามความฝันของฉัน แต่ปัญหามีอยู่อย่างนึง คือ ไม่มีเงินว่ะ ..เอ่อ กรูชักหิวแล้ว เดี๋ยวเดินลงไปซื้อสตาร์บัคส์ ลองท้องหน่อย บ่ายนี้ หนึ่งแถมหนึ่ง)

ผมว่าอารมณ์มันประมาณนี้นะ ใจนึงก็อยากมีอิสระ อีกใจก็กลัวไม่มีกิน ...เอางี้ ลองเอา 3 ข้อต้องรู้ ไปลองใช้ดู

3 ข้อต้องรู้ ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว

1.“รู้หรือไม่ว่า คุณสามารถสร้าง Passive Income และมีอิสรภาพทางการเงิน ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง” ...อันนี้ประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ผมเริ่มจากเป็นผู้ประกอบการ ออกผจญภัยสู่โลกกว้างมีอิสระอย่างเสรี จนวันนี้ผมกลายเป็นลูกจ้างเรียบร้อย ...ใช่!! มันอาจจะต่างจากคนอื่นๆ ที่เริ่มจากลูกจ้างแล้วค่อยออกไปเป็นผู้ประกอบการ

ผมจากผู้ประกอบการสู่ลูกจ้าง ...แต่เดี๋ยว!! ผมว่าตรงนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆ คนหลงประเด็น เพราะจริงๆ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเป็นลูกจ้าง ผมว่าประเด็น คือ มีเงินใช้เพียงพอไหม และมี Passive Income หรือเปล่า

ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง มีทั้งพวกรวย และก็มีทั้งเดือนชนเดือน ...นายจ้างแบบทำงานแค่มีเงินจ่ายลูกน้องแบบเดือนชนเดือน น้ำตาไหลนองหน้า นี่ก็เยอะมากๆ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้

เอางี้ ผมในฐานะลูกจ้างที่มี Passive Income มากกว่ารายจ่ายขั้นต่ำต่อเดือนเรียบร้อย นั่นแปลว่า ตัวผมเองแม้จะยังเป็นลูกจ้าง แต่ผมมีอิสรภาพทางการเงินเบื้องต้นจากการลงทุนเรียบร้อย แม้ว่าวันนี้ผมเลิกเป็นลูกจ้าง ก็ยังมีเงินเข้ามาไม่อดตาย ...ผมแนะนำว่า ลองเริ่มศึกษาเรื่อง “ออมในหุ้นและการลงทุน ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง” ...ในสิบปี เห็นผลแน่นอน

2.“รู้หรือไม่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบการถึงจะมีความสุข ...ลูกจ้างก็มีความสุขในงานได้” ...อันนี้ประสบการณ์ตรงเช่นกัน สมัยผมเป็นเจ้าของร้านอาหาร ผมโคตรไม่มีความสุขเลย เพราะผมเกลียดการทำอาหาร แต่ทำเพราะตอนนั้นร้านอาหารมันเป็นธุรกิจที่รวยได้ ในเวลาที่ผมเรียนที่ออสเตรเลีย

แต่วันนี้ตรงกันข้าม ผมเป็นลูกจ้าง ทำอาชีพที่ปรึกษาการลงทุน ...งานสอนและให้ความรู้ลูกค้า ที่บัวหลวง ตั้งขึ้นมาให้ผมทำ ...ชอบครับ “ได้ให้ความรู้คนอื่น แล้วชีวิตเขาดีขึ้น และผมได้เงินในการทำสิ่งนี้” ชอบกว่าตอนยืนผัดข้าวเยอะเลย

จะบอกว่าเป็นลูกจ้างก็ทำสิ่งที่รักได้ครับ แต่มันมีขั้นตอน มีการวางแผน ที่จะเปลี่ยนจากงานที่ไม่รักเป็นงานที่รัก (งานแรกในฐานะลูกจ้าง คงไม่ง่ายที่ได้งานที่รัก แต่เราวางแผนเพื่อก้าวสู่งานที่รักได้ครับ)

3.“รู้หรือไม่ว่า คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันกำลังไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอีกต่อไป” ...ลูกจ้างเสียเปรียบ เจ้าของเอาเปรียบ ...เออวันนี้คุณเดินเข้าตลาดหุ้น แล้วซื้อธุรกิจชั้นนำของประเทศได้เกือบทุกตัว อยากเป็นเจ้าของธุรกิจไหน ซื้อเลยครับ “ยิ่งซื้อตอนธุรกิจนั้นมีข่าวร้าย ยิ่งได้หุ้นราคาถูก”

พอผมเข้าใจหลักการข้อนี้ ผมฟินเลย!! ...วันนี้ผมเป็นลูกจ้าง แต่พอร์ตออมในหุ้นผม เป็นเจ้าของธุรกิจชั้นนำของประเทศ บางตัวระดับโลก แถมผมขี่คอเจ้าของซื้อ คือ ซื้อตอนราคาถูก ...แล้วที่แจ๋วกว่านั้น คือ ผมแทบไม่คิดจะขายหุ้นเหล่านี้ที่ผมได้มาในราคาถูกเลย แม้ว่าราคาจะขึ้นเยอะ

เพราะมันทำให้ผมได้สิทธิเหมือนเจ้าสัวต่างๆ ผมได้สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำเหล่านั้น ผมได้เงินปันผลทุกปี เพราะหุ้นเหล่านี้มันมีมืออาชีพทำงานให้ มีเจ้าสัวต่างๆ ทำงานหนักเพื่อผม และสุดท้ายผมก็สามารถยกหุ้นเหล่านี้ไปให้ลูกหลานผมถือต่อไป

“ลูกหลานที่จะได้พอร์ตออมในหุ้นต่อไปเป็นมรดก”

นี่คือ “ลูกจ้างอิสระ” ผมคือ Freedom Slave ...ผมว่า มันก็เท่ไม่เหมือนใครดีนะ ...55

ที่เขียนเรื่อง 3 ข้อนี้ ไม่ได้จะสรุปว่า เป็นลูกจ้าง หรือ นายจ้างดี ...เป็นอะไรก็ดีได้ หากเราเข้าใจแนวคิด “ดีที่สุดในจุดที่ยืน”...เปลี่ยนจุดที่ยืนให้เหมาะกับตัวเราที่สุด ผมว่านี่แหละดีที่สุด!!