posttoday

การลงทุนเพื่อความยั่งยืน

30 มกราคม 2560

โดย...เกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดย...เกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สวัสดีปีใหม่ ท่านผู้อ่าน ตามธรรมเนียมฝรั่งนั้น มักจะมีการตั้งเป้าหมายในปีใหม่ว่าปีนี้จะทำอะไร เพื่อตนเองกันบ้างเคยคิดถึงเป้าหมายในเรื่องของสุขภาพทางการเงินในระยะยาวกันหรือไม่คะ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่จะต้องมีความสามารถในการพึ่งพิงตนเองด้านการเงินให้ได้ หรือแม้แต่เพื่อความมั่นคงของครอบครัวในระยะยาว

ความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ และโดยที่สภาพแวดล้อมด้านอัตราดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน อยู่ในอัตราที่ต่ำมากมาเป็นระยะเวลานาน ผู้ลงทุนจึงต้องใส่ใจในการพินิจพิเคราะห์เครื่องมือการลงทุนประเภทต่างๆ ที่มีทั้งอัตราผลตอบแทนที่สูงและความเสี่ยงที่มาด้วยกัน  ในวันนี้ขอมาให้ข้อมูลของตลาดหุ้นไทยที่มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าและสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับทั้งผู้ลงทุนและผู้ประกอบการของประเทศไทย

ตลาดหุ้นไทยมีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จในหลายมิติ มีทั้งผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายบุคคลที่มีกว่า 1.3 ล้านบัญชี ซึ่งจะเห็นถึงมิติความเติบโตทั้งจำนวนและความรู้ความเข้าใจในการใช้ตลาดหุ้นและตลาดทุนไทย เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ขณะเดียวกันเครื่องมือการลงทุนนั้นได้ขยายประเภทจากหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กว่า 650 บริษัทไปสู่กองทุนต่างๆ และเครื่องมือประเภทบริหารจัดการความเสี่ยงประเภท DW, Futures, Options ผู้ประกอบการที่นำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้นสามารถขยายกิจการและสร้างการเติบโตทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และในระดับโลก และมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ

ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นมีทางเลือกมากตามจำนวนและประเภทธุรกิจที่มีความหลากหลาย ที่สำคัญความทนทานต่อความเสี่ยงของผู้ลงทุน รวมทั้งความสอดคล้องกับสภาวะหรือสถานการณ์ในขณะนั้นที่มีผลต่อธุรกิจของหุ้นที่จะลงทุน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะลงทุนแบบไหน มีสิ่งหนึ่งที่ผู้ลงทุนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ ศึกษาหาข้อมูลว่าบริษัทนั้นมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร

ดังนั้น การมองหาบริษัทมีการดำเนินธุรกิจที่ดีเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีความโปร่งใส ผู้บริหารมีความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้ มีการเปิดเผยข้อมูลตรงไปตรงมา จึงถูกนำมาเป็นปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจลงทุนคือ ผู้ลงทุนจะพิจารณาว่าบริษัทดังกล่าวมีการกำกับดูแลกิจการ (CG) อยู่ในระดับที่ดีมากน้อยอย่างไร

แนวโน้มของการตัดสินลงทุนของผู้ลงทุนสถาบัน ได้คำนึงถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน โดยมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่นอกจากจะให้ความสำคัญกับการเติบโต โปร่งใส มีจรรยาบรรณในการทำงาน ดูแลพนักงาน ผู้ถือหุ้น หรือผู้ลงทุนแล้ว ยังต้องใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม และสังคม

หุ้นกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากจะให้ความสำคัญด้านผลการดำเนินงานแล้วยังต้องโดดเด่นด้านการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลด้วย สำหรับการวิเคราะห์เพื่อหาหุ้นดังกล่าว ผู้ลงทุนสามารถหาได้จากรายงานความยั่งยืน ที่เป็นรายงานประจำของบริษัทที่มีการดำเนินการในเรื่องเหล่านี้

บจ.เริ่มให้ความสำคัญกับการนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อธุรกิจมากขึ้น รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลจากรายงานของ The Forum for Sustainable and Responsible Investment (USSIF) ได้เก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 1995-2014 (เก็บข้อมูลทุกๆ 2 ปี พบว่า บจ.ในตลาดหุ้นสหรัฐให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ 2014 ใช้เงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน 4,306 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 325% เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่อยู่ระดับ 1,013 ล้านเหรียญสหรัฐ         

The Association for Sustainable & Responsible Investment Asia (ASrIA) รายงานว่า ในปี 2556 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ใช้เงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน 44,937 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่ใช้ลงทุนด้านนี้ 29,988 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับ บจ.ในตลาดหุ้นไทย ASrIA ระบุว่า ในปี 2556 ใช้เงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ

การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนและการรณรงค์ให้ประชาชนมี “การลงทุนสม่ำเสมอ” เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเงินและการเสริมสร้างความรู้เรื่องการออมและการลงทุนระยะยาว เพื่อให้มีใช้จ่ายได้จนถึงวัยเกษียณนั้น เป็นมาตรการภายใต้วิสัยทัศน์ของ ตลท. “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” เพื่อพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ด้วยการสร้างรากฐานการเติบโตไปพร้อมกันทั้งตลาดทุน เศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ เพื่อให้สอดรับการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล Thailand 4.0 ด้วย