posttoday

นโยบายการเงินที่แตกต่าง

13 ธันวาคม 2559

โดย...บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย

โดย...บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย

ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป ECB มีมติในการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0% คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระหว่างธนาคารไว้ที่ -0.4% พร้อมการมีมติขยายเวลาโครงการ QE ออกไปอีก 9 เดือน สิ้นสุด ธ.ค.60 โดย ECB จะทำการลดขนาดวงเงินจากเดือนละ 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน เหลือ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ในช่วง เม.ย.-ธ.ค.60

มติของ ECB ถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ และส่งผลให้ตลาดยุโรป DAX เยอรมัน และ CAC ฝรั่งเศส ตอบรับด้วยการปรับเพิ่มขึ้นกว่า 1.75% และ 0.87% ขณะที่สกุลยูโรตอบรับด้วยการอ่อนค่าลงรุนแรงทันที 1.34% สู่ระดับ 1.06 ดอลลาร์ต่อยูโร สวนทางกับการแข็งค่าของ US Dollar Index พุ่ง 0.84% สู่ 101.14

ด้วยการแสดงออกของ ECB ที่จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป กลายเป็นสิ่งที่ทำให้การประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.60 หาก Fed ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ด้วยการมีมติในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% พร้อมกับการปรับคาดการณ์ของคณะกรรมการ Fed ในรูป Dot Plot สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้ามากกว่าที่คาดไว้เดิมคือ 2 ครั้งต่อปี จะเป็นตัวฟ้องภาพ การใช้นโยบายการเงินที่แตกต่างและฉีกห่างกันระหว่าง Fed และ ECB ซึ่งจะส่งผลให้ US Dollar แข็งค่า กดดันสกุลอื่นๆ รวมถึงเงินบาทไทยอย่างต่อเนื่อง

การเคลื่อนไหวของ Fund Flow ยังเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง แม้ว่านักลงทุนต่างประเทศจะทำการซื้อสุทธิมา 3 วันติดต่อกันกว่า 2.85 พันล้านบาท แต่แรงกดดันจากการแข็งค่าของ US Dollar และการอ่อนค่าของเงิรบาท โดยเฉพาะในช่วงใกล้การประชุม FOMC อาจเป็นตัวขับให้ Fund Flow ไหลออกอีกครั้ง นอกจากนั้นในตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ธ.ค. ไปจนถึงสิ้นปี มักจะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างประเทศทำการขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย ก่อนที่จะพักการลงทุนในช่วงเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ ทำให้ SET Index อาจต้องเผชิญกับความผันผวนในช่วงปลายปีได้

พรุ่งนี้ติดตามการประชุม OPEC และ Non OPEC ซึ่งตลาดคาดว่า Non OPEC จะมีการปรับลดกำลังการผลิตลงราว 6 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยจะเป็นการลดจากรัสเซีย 3 แสนบาร์เรล และประเทศอื่นๆอีก 3 แสนบาร์เรล คาดว่าจะเป้น Sentiment บวกต่อราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เอื้อประโยชน์ในการลงทุนหุ้น Top Pick อย่าง PTTEP

SET Index ยังไม่สามารถผ่านเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ 1,530 จุด ไปได้ อย่แต่ด้วย Momentum ของตลาดที่กลับมา ทำให้ดัชนีมีโอกาสที่จะขึ้นเลยเป้าหมาย 1,530 จุด และไปทดสอบเป้าหมายสิ้นปีหน้าที่ 1,540 จุดได้ อย่างไรก็ตามการขึ้นในรอบนี้น่าจะเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ความเสี่ยงจาก Capital Outflow ที่ยังคงมีอยู่ บวกกับภาพ Valuation ตึงตัว ตลาดไม่เหลือ Upside เชื่อว่าจะเป็นตัวทำให้ดัชนีพลิกกลับมาปรับลงเร็วได้ เพราะฉะนั้นการขึ้นมาทดสอบ 1,530 – 1,540 จุด จะเป็นเวลาที่ทำให้ต้องปรับพอร์ตเพื่อลดน้ำหนักการลงทุน และเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น กลุ่มพลังงาน ตาม Commodity Play PTTEP GUNKUL และหุ้นทีได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า KCE หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการของรัฐ  MINT CENTEL MEGA BJC และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น  BLA SCB