posttoday

ลุ้นหุ้น 1550 จุด ก่อนสิ้นปี

13 ธันวาคม 2559

โดย พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์.ธนชาต email: [email protected]

โดย พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์.ธนชาต  email: [email protected]

การปรับพอร์ตร์ระดับโลกหลังทรัมป์พลิกชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีซาลงแล้ว

ราคาพันธบัตรทั่วโลกที่ทรุดฮวบ จนดันบอนด์ยีลพุ่งแรงกว่า 0.6% “เริ่มทรงตัว” ล่าสุดบอนด์ยีล 10 ปี ของสหรัฐ เคลื่อนไหวอยู่แถว 2.466%  ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นกว่า 4% หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็เริ่มชะลอตัวเช่นกัน

แรงขายในตลาดหุ้นเกิดใหม่เริ่มซาลงแล้วในสัปดาห์ที่ผ่าน เปิดโอกาสให้ราคาหุ้นโงหัวขึ้น

กรณีตลาดหุ้นไทย ต่างชาติพลิกกับมาซื้อ 4 วันทำการติดต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณที่ดี

ตลาดหุ้นยังได้แรงหนุนจากปัจจัยอื่นดังนี้

ประการแรก หุ้นกลุ่มพลังงานแกว่งขึ้นตามราคาน้ำมัน หลังโอเปคบรรลุข้อตกลงปรับลดการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา

นอกจากนั้น ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปคยังมีมติปรับลดการผลิตลง 5.58 แสนบาร์เรลต่อวัน เมื่อเสาร์ที่ผ่านมา แม้จะต่ำกว่าที่โอเปคตั้งเป้าไว้ที่ 6 แสนบาร์เรล แต่ยังคงมีส่วนช่วยคลี่คลายภาวะน้ำมันล้นตลาดโลก

ประการที่ 2 ธนาคารกลางยูโร (ECB) มีมติขยายเวลามาตรการ QE ไปอีก 9 เดือน แม้จะลดวงเงินซื้อพันธบัตรจาก 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน เหลือ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน ตั้งแต่เม.ย.-ธ.ค.60 แต่เม็ดเงินรวมทั้งโปรแกรมยังคงสูงกว่าที่เดิมเคยคาดการณ์ไว้

สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกจึงมีแนวโน้มสูงต่อไป แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14 ธ.ค.นี้ก็ตามตลาดโลกได้รับรู้แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ล่วงหน้าไปแล้ว และคาดว่า จะปรับขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง ในปี 60

ทั้งนี้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ตลาดปรับเปลี่ยนการคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยเฟดต่อไป

ประการที่ 3 การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น เนื่องจาก

3.1) รายได้ภาคผลิตมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังสถานการณ์น้ำในเขื่อนทั่วประเทศดีเกินคาด
หากการผลิตสินค้าเกษตรสำคัญเช่น ข้าว ยาง น้ำตาล กลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนเกิดภัยแล้ง และให้ราคายางและอ้อยที่ดีดขึ้นมา 30-40% แล้ว ทรงตัว รายได้ภาคเกษตรจะสูงขึ้นเฉียดแสนล้านในปี 60  เศรษฐกิจฐานรากจะมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น

3.2) ภาระหนี้จากโครงการรถยนต์คันแรกจะทยอยหมดลงในปี 60-62 นักวิเคราะห์ธนชาตประเมินว่า จะช่วยปลดภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนลงได้ 1 หมื่นล้านบาทในปี 60 และอีก 2-3 หมื่นล้านบาทในปี 61

3.3) การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเพิ่มค่าลดหย่อนฯ ที่จะเริ่มตั้งแต่ ม.ค.60 จะช่วยเติมเงินในกระเป๋าผู้เสียภาษีอีก 1.5 หมื่นล้านบาท/ปี

3.4) มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยรายละ 1.5 หรือ 3 พันบาท จะเติมเงินเข้าระบบอีก 2 หมื่นล้านบาทก่อนสิ้นปีนี้ 

โดยรวม ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบราว 1.5 แสนล้านบาท หรือ 1% ของ GDP ทั้งนี้ยังไม่รวมผลทวีคูณการหมุนรอบของเม็ดเงิน (Multiplier Effect)
นอกจากนั้น ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทยอยออกมา ทั้ง “เที่ยวช่วยชาติ” และสัปดาห์นี้จ่อคลอด “ช็อปช่วยชาติ”

หุ้นที่อิงการบริโภคจึงอยู่ในข่ายที่ได้อานิสงส์จากปัจจัยข้างต้น
 
เมื่อผนวกกับความคืบหน้าโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างรถไฟฟ้า 3 เส้นทางมูลค่ารวม 2 แสนล้านบาท และจะทยอยออกมาอีก เช่น โครงการรถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ ฯ ภาคก่อสร้างน่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 60

แนวโน้มการฟื้นตัวของการบริโภค การท่องเที่ยว และภาคก่อสร้าง จึงน่าจะช่วยหนุนเศรษฐกิจในภาพรวม โดยจะเห็นผลชัดขึ้นในครึ่งหลังของปี 60

ประการที่ 4 เม็ดเงิน LTF/RMF จะทยอยเข้าตลาดหุ้นก่อนสิ้นปีอีกไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท

ปัจจัยที่กล่าวมา จะช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยยกกรอบการแกว่งตัวขึ้นเป็น 1520-1550 จุด

แนะซื้อหุ้นรายตัวเช่น AOT BJC BEAUTY CPALL EA KCE CK IRPC PTTGC เป็นต้น (โปรดศึกษาเพิ่มเติมก่อนตัดสินลงทุนจากบทวิเคราะห์ของธนชาต)