posttoday

เขาบอกว่าเศรษฐกิจจะแย่ แต่ทำไมหุ้นขึ้นเอาๆ?

15 กรกฎาคม 2559

โดย เจษฎา สุขทิศ, CFA &ชยนนท์ รักกาญจนันท์, AFPT INFINITI Global Investors, The Ultimate Investment Solution

โดย เจษฎา สุขทิศ, CFA &ชยนนท์ รักกาญจนันท์, AFPT INFINITI Global Investors, The Ultimate Investment Solution


ย้อนกลับไปซัก 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้ามีคนบอกว่า “BREXIT” จะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นแรงโดยเฉพาะตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย เราก็คงจินตนาการไม่ออกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร ในเมื่อมีปัจจัยความไม่แน่นอนรออยู่เพียบเลย วันนี้ชวนนั่งฟัง 2 กูรูคุยกันเรื่องนี้ว่า เกิดอะไร และเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน

เจษฎา : ณ ตอนนี้ สัญญาณที่ผมเจอมาในภาพเศรษฐกิจ ก็ยังถือว่าไม่สู้ดีนักนะคุณแบงค์ แต่ก็ต้องขอชื่นชมให้กับการวิเคราะห์ Fund Flow ของคุณ ที่ 2 สัปดาห์ก่อน คุณคาดการณ์ไว้ว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่จะกลลับมาเป็นพระเอกได้ แต่เรื่องนี้ หนังยาวนะครับ คงต้องมองไปให้ไกลกว่าแค่ 2-3 สัปดาห์ ผมยังเชื่อว่าระยะยาว เศรษฐกิจยุโรป รวมถึงอังกฤษ น่าจะมีปัญหาหนักขึ้นนะ

ชยนนท์ : กลับมาทวนกันอีกที ว่าทำไมตลาดเกิดใหม่ถึงได้อานิสงส์จากเหตุการณ์ BREXIT นะครับ สาเหตุก็เพราะ เมื่อความเสี่ยงต่อเศรษฐโลกสูงขึ้น เงินก็ไหลเข้าตราสารหนี้ เพื่อลดความเสี่ยง แต่พอเงินไหลเข้าตราสารหนี้เยอะๆ ราคาตราสารหนี้ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นกันทั้งหมด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงมาทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และบางแห่งก็ให้ผลตอบแทนติดลบไปแล้วอย่างที่เราเห็น

เจษฎา : ผมบรรยายต่อให้นะ พอผลตอบแทนพันธบัตรยิ่งต่ำลงมากๆ นักลงทุนก็ชักไม่อยากเอาเงินไปซื้อตราสารหนี้ไว้เยอะๆเหมือนเดิม ก็เลยต้องมาควานหาว่า ผลตอบแทนที่สูงขึ้น อะไรละ ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล?

ชยนนท์ : ก็แทบจะทุกสินทรัพย์นะสิครับ ทั้งตราสารหนี้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ พวกตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับกาจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หุ้นทั้งหลาย สินค้าโภคภัณฑ์ทุกแนว มากันหมดเลย

เจษฎา : นี่เลยเป็นสาเหตุที่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักเตือนกันไง ว่า การที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำเกินไป ในระยะเวลาที่นานเกินไป จะไปทำให้เกิดฟองสบู่ในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ลึกๆแล้วก็เพราะ นักลงทุนเรา อยากให้เงินมันทำงานตลอดเวลา และเราจะใช้เหตุผลในการไปหาสินทรัพย์เสี่ยงกว่าน้อยลง เมื่อเหตุผลที่หนีสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมันเพิ่มขึ้น (ดอกเบี้ยมันต่ำ ต้องทำอะไรซักอย่าง)

ชยนนท์ : ทั้งหมดทั้งมวลที่จะบอกก็คือว่า เหตุผลของการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น บางครั้งมันไม่ได้เกิดจากมุมมองเศรษฐกิจที่ดีในอนาคตเพียงอย่างเดียวครับ เราต้องดูเหตุผลด้านอื่นประกอบกัน  จากเหตุการณ์นี้ ที่ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ต่ำสุดเป็นประวัตารณ์ และอาจจะกินเวลานานกว่าที่ทุกคนคิดไว้ มันทำให้นักลงทุนกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในจุดที่ ถ้าย้อนกลับไปในอดีต ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตรงนี้มันแพง แน่นอนละ ว่า เราไปเปลี่ยนแปลงกลไกตลาด ที่มันอาจดูไม่สมเหตุสมผลในตอนนี้ไม่ได้ แต่เราทำความเข้าใจกับมันได้นะครับ

เจษฎา : แล้วหุ้น มันยังจะวิ่งต่อไปแบบนี้อีกนานไหมในมุมมองของคุณแบงค์

ชยนนท์ : ตราบใดที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และมีส่วนต่างระหว่าง อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้น กับการลงทุนในสาตราสารหนี้ที่สูงมากพอ ปกติ เราดูจาก Earnings Yield Gap (EYG)ซึ่งสูตรการคำนวณคือ เอา อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น - อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ ยิ่งค่านี้มากเท่าไหร่ ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้น ก็สูงขึ้นเท่านั้น แล้วลองคิดดูสิครับ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลงเรื่อยๆแบบนี้ EYG ก็จะดูดีขึ้นโดยที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ต้องดีขึ้นก็ได้ เห็นไหมครับ

เจษฎา : ให้ผมเดามตอบจบนะ เงินจะไหลเข้ามาตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย จนกระทั่งถึงจุดที่ EYG แคบ หรือน้อยจนไม่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง ซึ่งการที่ EYG จะลดลงได้ มีสองเงื่อนไข คือ 1) ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นไปอย่างรุนแรง จนอัตราการจ่ายปันผลมันเหลือน้อยมากๆ ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นเริ่มไม่คุ้มค่า 2) หรือไม่ก็อยู่ดีๆเงินเฟ้อกลับมา แล้วทำให้ธนาคารกลางต้องใช้นโยบายเชิงรุก ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อรับมือเงินเฟ้อ เมื่อขึ้นดอกเบี้ยขึ้นมาถึงจุดที่คนรู้สึกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องเสี่ยงลงทุนในหุ้น เมื่อนั้นละครับ ตอนจบของขาขึ้นในตลาดหุ้นของจริง

ชยนนท์ : หรือ มันอาจเกิดขึ้นด้วย 2 กรณีพร้อมกันก็ได้นะคุณเจท แต่ถ้าให้ผมเดานะ ผมว่าหุ้นจะขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะยังคิดไม่ออกว่า ธนาคารกลางที่ไหนจะขึ้นดอกเบี้ยได้ในเวลานี้ หรืออีกกรณีคือมีความเสี่ยงอื่นที่เรายังไม่เห็นตอนนี้ปะทุขึ้นมา นั่นละน่ากลัวเลย

เจษฎา : ผมกังวลธนาคารในยุโรปและภาคอสังหาฯในจีน คราวหน้า เรามาคุยเรื่องนี้กันนะ มีประเด็นให้ตามต่อและสนใจอีกเยอะเลย

เขาบอกว่าเศรษฐกิจจะแย่ แต่ทำไมหุ้นขึ้นเอาๆ?