ทิพยชูจุดขายซ่อมอะไหล่แท้

ทิพยประกัน ปีนี้รุกลูกค้ารายย่อย เน้นตลาดรถยนต์ ไม่แข่งราคา เน้นคุณภาพ

นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะขยายตลาดลูกค้าธุรกิจรายย่อยและบุคคลอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบประกันภัยรถยนต์ และแบบประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์หรือนันมอเตอร์ เช่น ประกันภัยสินเชื่อ ประกันภัยทางขนส่ง และประกันภัยป้องกันความเสี่ยงทางไซเบอร์หรือ ไซเบอร์อินชัวรันช์

"ปีนี้เราจะกลับมาบุกตลาดรถยนต์อีกครั้ง เรามองว่าตลาดรถยนต์มีความหลากหลาย มีทั้งกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นหลัก กับกลุ่มที่ต้องการความคุ้มค่าของสินค้า ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายของเรา ที่จะไม่เน้นเรื่องราคา แต่เราจะออกแบบสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ดังนั้น เบี้ยประกันรถทิพยจะไม่ถูก แต่จะคุ้มค่าสำหรับเงินที่เสียไป ที่สำคัญเรามีนโยบายชัดเจนว่า ทุกอย่างที่เป็นอะไหล่เกี่ยวกับความปลอดภัยของรถ ต้องเป็นอะไหล่แท้ทั้งหมด ไม่ว่า จะเป็นเบี้ยซ่อมห้างหรือเบี้ยซ่อมอู่" นายสมพร กล่าว
    
นอกจากนี้ จะเป็นครั้งแรกของบริษัทที่จะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตรถยนต์ และผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (ดีลเลอร์) โดยตรง ร่วมถึงการทำให้บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์แต่ละยี่ห้อด้วย ไม่ว่าจะเป็นอู่ซ่อมห้างหรืออู่ธรรมดา อย่างเช่น ถ้าเป็นแบบประกันเฉพาะกลุ่ม ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ ตรงกับวันสตรีสากล จะมีเปิดตัวประกันภัยรถยนต์ใหม่เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงโดยเฉพาะ

นายสมพร กล่าวว่า เมื่อ 2 ปีก่อน บริษัทกำหนดสัดส่วนเบี้ยรถยนต์ไว้ไม่ให้เกิน 30% ซึ่งในปี 2559 มีสัดส่วน เบี้ยรถยนต์อยู่ที่ 26% ส่วนที่เหลือจึงเป็นเบี้ยนันมอเตอร์ ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตให้ได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าของการเติบโตจีดีพีที่คาดว่าจะเติบโต 3.5% ก็ต้องเพิ่มสัดส่วนเบี้ยรถยนต์ให้มากขึ้นและก็มีโอกาสค่อนข้างมาก เนื่องจาก เบี้ยรถยนต์เป็นตลาดใหญ่สุด มีสัดส่วนเบี้ยเกิน 65% ของเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประกันวินาศภัยปีนี้ คงเติบโตไม่ดีเหมือนหลายปีก่อน โดยในส่วนประกันลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทชำนาญยังตั้งเป้าการเป็นผู้นำอยู่ แต่ปีนี้คาดว่าเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินโครงการขนาดใหญ่คงปรับราคาลงอีก 15-20% จากปีที่ผ่านมาลดไปแล้ว 20-30% ตามการแข่งขันของตลาดโลก