posttoday

ฤๅจะสิ้นยุคทองของ"วีไอ"

17 กุมภาพันธ์ 2560

คำถามยอดนิยมหนึ่งที่ถูกถามขึ้นเสมอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือ “นี่คือจุดสิ้นสุดของยุคทองของวีไอแล้วหรือยัง?”

โดย...ลงทุนศาสตร์ FINNOMENA Insight

หลังจากที่ทำจุดต่ำสุดที่ 380.05 จุด ตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ตลาดหุ้นไทยก็กลับมาเป็นขาขึ้นอย่างยาวนาน โดย SET INDEX ทำการปิดตลาดปี 2016 อยู่ที่ 1,542.94 จุด หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 16.65% ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา

คำถามยอดนิยมหนึ่งที่ถูกถามขึ้นเสมอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือ “นี่คือจุดสิ้นสุดของยุคทองของวีไอแล้วหรือยัง?” เพราะอย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า ตลาดหมีในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรงนั้นก่อให้เกิดสุดยอดนักลงทุนหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เปลี่ยนฐานะตัวเองมาจากการซื้อสุดยอดกิจการในราคาแสนถูกตอนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งและวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ก็สร้างผลตอบแทนมากมายมหาศาลจนกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกจากการซื้อหุ้นชั้นยอดในราคาถูกมากช่วงวิกฤต Black Monday และช่วงฟองสบู่ดอทคอมด้วยเช่นกัน

การลงทุนวีไอ (VI) หรือการเป็น Value Investor ในตลาดที่ผ่านการวงจรขาขึ้นมาอย่างยาวนานเช่นตอนนี้ถือว่าช้าเกินไปหรือเปล่า?

ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนแบบวีไอนั้นมุ่งเน้นการแสวงหาหุ้นที่ราคามีส่วนลดจากมูลค่า และไม่ว่าตลาดจะขึ้นมาอย่างยาวนานแค่ไหน ตราบใดที่ยังมีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่ หลักการแบบวีไอนั้นก็จะยังคงใช้ได้ต่อไป

ตลาดที่ถูกเทรดกันที่มูลค่าค่อนข้างสูง (พิจารณาจากการเทียบมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นทุกตัวในตลาดกับกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียน) นั้นอาจจะทำให้การมองหาหุ้นที่ราคาถูกนั้นอาจจะทำได้อย่างยากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ยากจนถึงขั้นที่จะเสาะหาไม่ได้เลย ตราบใดที่นักลงทุนทุกคนไม่ได้มีวิจารณญาณต่อหุ้นเดียวกันถูกต้องเหมือนกัน 100% โอกาสในการลงทุนย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

การลงทุนอย่างเน้นคุณค่าหรือวีไอนั้นก็ไม่ใช่หนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบมาตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว อย่างที่หลายคนทราบกันดีว่าหุ้นไทยหลายตัวนั้นเรียกได้ว่าเป็น Super Stock หรือหุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนอย่างมากมายมหาศาลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่หากย้อนกลับไปในเวลานั้น การลงทุนในสุดยอดหุ้นเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างที่นักลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกจากการเห็นบทเฉลยของการทดสอบนี้ก่อนในปัจจุบัน

CPALL ผู้ให้บริการร้านสะดวกซื้ออันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 45.72% ทบต้นตลอด 8 ปีที่ผ่านมาเองก็เคยมีผลประกอบการที่ขาดทุนอย่างหนักจากเทสโก้ โลตัส ที่เปิดสาขาในประเทศจีน หรือ BH ผู้ให้บริการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลอันดับแนวหน้าของประเทศเอง ซึ่งให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 30.74% ทบต้นตลอด 8 ปีที่ผ่านมาเองก็เคยต้องหยุดทำการซื้อขายในตลาดเพราะเข้าสู่กระบวนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว

นักลงทุนแนววีไอนั้นต้องทำงานหนักเสมอ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะตลาดที่ถูก แต่ถ้าเลือกหุ้นผิดตัวก็อาจให้ผลตอบแทนที่ย่ำแย่ได้ หรือจะอยู่ในสภาวะตลาดที่แพง แต่ถ้าเลือกหุ้นถูกตัวก็อาจให้ผลตอบแทนในระดับสุดยอดได้เช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนแนววีไอต้องทำนั้นคือการลับเหลี่ยมคมในการลงทุนและแสวงหาโอกาสในการซื้อสุดยอดกิจการในราคาที่เหมาะสมเสมอ เมื่อเจอหุ้นถูกก็ซื้อ เมื่อหุ้นแพงเกินไปก็ถือเงินสดรอไว้ เพราะราคาที่แพงเกินไปนั้นจะกลับเข้าหามูลค่าที่แท้จริงเสมอ ขอเพียงนักลงทุนมีความอดทนในการรอคอยที่เพียงพอ

โอกาสในการซื้อหุ้นถูกอย่างเช่น ยุควิกฤตต้มยำกุ้ง หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ยังคงจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะการเกิดวิกฤตของตลาดหุ้นนั้นไม่ใช่ความเสี่ยงแต่เป็นความแน่นอนที่หลีกหนีไม่ได้ ตราบใดที่ตลาดทุนยังคงหมุนไปด้วยความโลภและความกลัวของฝูงชน โอกาสของนักลงทุนผู้มีเหตุผลนั้นก็จะยังคงปรากฏมีอยู่เสมอ

ขอเพียงเมื่อเวลานั้นมาถึง นักลงทุนต้อง “กล้า” ที่จะซื้อหุ้นในเวลาที่ตลาดตกอยู่ในความ “กลัว” ถึงขีดสุด แก่นแท้ของปรัชญาในการสร้างมหาเศรษฐีนักลงทุนอันดับโลกนั้นก็มีเพียงความเรียบง่ายเท่านี้เอง