posttoday

ออมทรัพย์ หลบไป ถอนทันใจ ได้ดอกดี ต้องกองทุนตลาดเงิน

11 มิถุนายน 2559

แม้ว่าวันนี้เราจะรอดพ้นจาก “ดอกเบี้ยเงินฝาก 0%” มาได้อย่างหวุดหวิด แต่ไม่ได้หมายความว่า

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

แม้ว่าวันนี้เราจะรอดพ้นจาก “ดอกเบี้ยเงินฝาก 0%” มาได้อย่างหวุดหวิด แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่มีโอกาสเจอกับดอกเบี้ยเงินฝาก 0% (ไม่ว่าเราจะยอมรับได้หรือไม่ก็ตาม) เพราะในวันนี้ถ้าเปิดไปดูในเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th) จะเห็นเลยว่า อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ไทยเข้าใกล้ 0% เข้าไปทุกทีแล้ว

เพราะเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2559 ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทย อยู่ระหว่าง 0.05-2.5% ต่อปี

ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ ยังใจดีให้ 0.5% ต่อปี ขณะที่ธนาคารทหารไทยกดดอกเบี้ยลงไปต่ำสุดที่ 0.125% แต่ต่ำสุดในกลุ่มนี้ คือ ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย) กำหนดไว้ 0.05%

แต่ถ้าอยากได้ดอกเบี้ยออมทรัพย์สูงๆ จะต้องเปิดเป็นบัญชีที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น ต้องฝากเงินขั้นต่ำ 1-2 แสนบาท หรือห้ามถอนเงินออกในช่วงเวลาที่ธนาคารกำหนดไว้

ในขณะที่ “กองทุนรวมตลาดเงิน” หรือ Money Market Fund ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความใกล้เคียงกับเงินฝากออมทรัพย์มากที่สุด ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี นับจากวันที่ 8 มิ.ย. 2559 อยู่ระหว่าง 0.74-1.65% (แถมผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่ต้องเสียภาษี ไม่เหมือนเงินฝากที่หากได้ดอกเบี้ยเกิน 2 หมื่นบาท ก็ต้องจ่ายภาษีด้วย)

แม้ว่าจะไม่มีใครรับประกันได้ว่า หลังจากนี้กองทุนรวมตลาดเงินจะให้ผลตอบแทนได้เท่าไร เพราะกองทุนรวมไม่เหมือนกับเงินฝากที่จะ “สัญญา” ได้ว่า จะให้ดอกเบี้ยเท่าไร แต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า ผลตอบแทนที่ได้จะสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์แบบธรรมดาแน่นอน

ออมทรัพย์ หลบไป ถอนทันใจ ได้ดอกดี ต้องกองทุนตลาดเงิน

 

เพราะฉะนั้น คำถามที่จำเป็นต้องถามตัวเองมากที่สุดในวันนี้ คือ “เรายังจะเก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อีกหรือ”

ความเสี่ยงน้อยที่สุด

พอพูดถึง “การลงทุน” หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่เงินฝาก พวกเราก็มักจะกลัวว่า จะขาดทุนไหม เงินต้นจะหายไปไหม โดยที่ลืมคิดไปว่า แม้จะเป็นเงินฝากก็ขาดทุนได้เหมือนกัน เพราะเงินเฟ้อ หรือข้าวของที่ราคาแพงขึ้น ก็ทำให้เงินออมที่นอนอยู่ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หายไปได้ เพียงแต่เราไม่เห็นว่า “เงินต้น” มันหายไป... แต่เชื่อเถอะว่า “มันรู้สึกได้”

แต่ถ้าเป็น “กองทุนรวมตลาดเงิน” สบายใจหายห่วงเรื่อง “ความเสี่ยง” ไปได้หลายเปลาะ เพราะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดให้เป็นกองทุนที่มี “ความเสี่ยงต่ำมาก” โดยมีความเสี่ยงต่ำที่สุด จากทั้งหมด 8 ระดับ

“กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ และมีการกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถาม หรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี รวมทั้งมีอายุตราสารหนี้คงเหลือในพอร์ต ในขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 90 วัน”

โดยทฤษฎีแล้วตราสารหนี้อายุสั้นๆ เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน แบบที่กองทุนรวมตลาดเงินเข้าไปลงทุนนั้นจะได้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะดอกเบี้ยน้อยมาก

และเพื่อให้เห็นภาพชัดมากขึ้น ต้องไปดูที่ค่า Standard Deviation (SD) ซึ่งจะแสดงให้เห็นความผันผวน หรือการแกว่งตัวของมูลค่าหน่วยลงทุน โดยกองทุนที่มีค่า SD น้อยๆ แสดงว่ามีความผันผวนต่ำ และกองทุนที่มีค่า SD มากๆ จะมีความผันผวนสูง โดยมีทั้งโอกาสที่จะได้กำไรมากและขาดทุนได้มากเช่นกัน

เมื่อดูค่า SD จากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) (www.morningstarthailand.com) จะเห็นค่า SD หรือความผันผวนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กองทุนรวมตลาดเงินส่วนใหญ่จะมีค่าความผันผวนอยู่ระหว่าง 0.1-0.15 เท่านั้น เทียบกันไม่ได้เลยกับกองทุนหุ้น โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศที่จะมีค่า SD มากกว่า 20 เรียกว่า ต้องลุ้นกันจนเหนื่อย

นอกจากนี้ กองทุนรวมตลาดเงินบางกองทุนยังได้รับการจัดอันดับเครดิตเหมือนตราสารหนี้ชั้นดี เช่น กองทุนทหารไทยธนบดี (TMBMF) และกองทุนกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “AAA(tha)/V1+(tha)” จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)

แม้ว่ากองทุนที่ได้รับการจัดอันดับจะทำให้มั่นใจว่า ความเสี่ยงจะต่ำ แต่กองทุนรวมตลาดเงินที่ไม่ได้รับการจัดอันดับก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นใจลดลง

ซื้อง่ายขายคล่อง

ถ้าเทียบกับเงินฝากออมทรัพย์แล้ว กองทุนรวมตลาดเงินก็อาจจะเสียเปรียบอยู่ 1 วัน เพราะเวลาจะถอนเงินออกจากกองทุนไม่ใช่เบิกปุ๊บได้เงินปั๊บเหมือนกับเงินฝากออมทรัพย์ ที่มีบัตรเอทีเอ็มให้ไปเบิกได้จากตู้เอทีเอ็ม

จริงๆ ก็มีอยู่กองทุนหนึ่งที่สามารถเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มได้ทันทีเหมือนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ นั่นคือ กองทุนทหารไทยธนบดี ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย โดยใช้บัตร TMBAM Extra Cash ถอนเงินได้ไม่เกิน 80% ของมูลค่าเงินลงทุน หรือไม่เกิน 2 หมื่นบาท

แต่น่าเสียดายที่ บลจ.ทหารไทย ยกเลิกการออกบัตรใหม่ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ. 2559 แต่ผู้ถือหน่วยที่มีบัตรอยู่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง เพราะยังใช้เบิกเงินได้ตามปกติ เพียงแต่ห้ามทำบัตรหาย หรือชำรุด เพราะจะไม่ออกบัตรใหม่ทดแทนบัตรเดิมได้แล้ว

ออมทรัพย์ หลบไป ถอนทันใจ ได้ดอกดี ต้องกองทุนตลาดเงิน

 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่ได้เบิกปุ๊บได้เงินปั๊บก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรื่องแบบนี้เราวางแผนล่วงหน้าได้ไม่ยาก เพราะการถอนเงินจากกองทุนรวมตลาดเงินจะได้รับเงินในวันถัดไป หรือเรียกว่า T+1 ซึ่งแม้ว่าบางกองทุนจะกำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวนเขียนเอาไว้อย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง

เช่น ในหนังสือชี้ชวนบอกไว้ว่า จะได้รับเงิน T+4 หรือ 4 วันหลังจากส่งคำสั่งขาย แต่ความจริงแล้วสามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้ T+1 เพราะตอนนี้กองทุนรวมตลาดเงินน่าจะรับเงิน T+1 ได้หมดแล้ว

ถ้ากองทุนไหนบอกว่าเป็นกองทุนตลาดเงินแล้วไม่ได้รับเงิน T+1 คงเชยน่าดู

แต่ถ้าจะให้ได้เงิน T+1 ก็ต้องเตือนตัวเองไว้หน่อยว่า จะต้องส่งคำสั่งขายหน่วยลงทุนภายในเวลา หรือเดดไลน์ ที่แต่ละกองทุนกำหนดไว้ ซึ่งแต่ละกองทุน แต่ละ บลจ. จะกำหนดเวลาที่ไม่เท่ากัน เช่น บางกองทุนกำหนดให้ขายก่อน 14.00 น. ถึงจะได้เงินในวันถัดไป ขณะที่บางแห่งบอกว่าต้องขายก่อน 15.30 น. ซึ่งหากเราทำรายการขายไม่ทันเดดไลน์ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่จะนับไปเป็นรายการของวันถัดไป ทำให้ได้เงินช้าไปอีก 1 วัน

นอกจากนี้ ความสะดวกอีกอย่างหนึ่งของกองทุนรวมตลาดเงิน คือ เราสามารถรับเงินค่าขายหน่วยเข้าบัญชีธนาคารได้เลย ไม่ต้องไปรับเช็ค ถ้าเป็นธนาคารที่ บลจ.นั้นมีบริการ โดยจะต้องแจ้งไว้ตั้งแต่ตอนเปิดบัญชี และสามารถทำได้มากกว่า 1 ธนาคาร

สามารถดูธนาคารที่รับเงินค่าขายหน่วยลงทุนได้ตามตาราง แต่ต้องออกตัวกันไว้ก่อนว่า อาจจะไม่ถูกต้องครบถ้วนนัก ขณะที่บางธนาคารจะต้องเป็นสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ถ้าเป็นสาขาต่างจังหวัดยังต้องรอ T+2

บาง บลจ.เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน เช่น คนหนึ่งแจ้งว่า ถ้าจะรับเงินเข้าบัญชีแบบ T+1 จะต้องเป็นบัญชีธนาคาร ABC เท่านั้น แต่อีกคนหนึ่งบอกว่า สามารถนำเข้าบัญชีได้ทุกธนาคาร โดยจะได้เงิน T+1 เหมือนกันหมด

เลยต้องยอมรับตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า แบบไหนที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องตรวจสอบให้มั่นใจอีกครั้งว่า ใช้บัญชีธนาคารไหนได้บ้าง และทำได้ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือรับเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น

แต่ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่มีบัญชีของธนาคารตามที่กำหนดไว้แล้วจะรับเงินข้าบัญชีธนาคารอื่นไม่ได้ เรายังรับเงินเข้าบัญชีได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะได้เงินช้ากว่า 1 วัน เพราะ บลจ.จะจ่ายเป็นเช็คเข้าบัญชี ซึ่งต้องรอเคลียริ่งอีก 1 วัน กลายเป็น T+2

ถ้าจะให้สะดวกที่สุด ก็ต้องเปิดใช้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ เพราะสามารถทำรายการได้ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องรอเวลาเปิดทำการปกติ แต่ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน คือ ถ้าต้องการใช้เงินในวันถัดไปก็ต้องขายก่อนเดดไลน์ในแต่ละวัน

นอกจากนี้ กองทุนรวมตลาดเงินยังมีข้อดีอีกข้อ คือ มีเงินน้อยก็เริ่มลงทุนได้ เพราะ บลจ.ส่วนใหญ่ เปิดรับเงินลงทุนครั้งแรกเพียงแค่หลักร้อยหลักพันเท่านั้น นอกจากนี้ ยังไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นมีเงินสิบเงินร้อยก็สามารถโอนเข้ามาเก็บไว้ในกองทุนได้เลย

และถ้าต้องการจะถอนก็สามารถถอนได้หมดบัญชี ไม่ต้องมียอดเงินขั้นต่ำที่ต้องคงไว้ในบัญชี และไม่มีค่าธรรมเนียมซื้อขาย ถ้ากองทุนไหนเก็บค่าธรรมเนียมซื้อขายก็ใจร้ายเกินไป เพราะกองทุนรวมตลาดเงินตั้งใจให้เป็นการบริหารสภาพคล่อง ต้องมีการซื้อๆ ขายๆ บ่อยๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ทดแทนออมทรัพย์

เมื่อไม่กี่วันก่อน “Insuranger” กูรูการเงินของ Aommoney แนะนำไว้ในบทความเรื่อง “กองทุนรวมที่แนะนำ สำหรับบริหารเงินสภาพคล่องระยะสั้น ในวันที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ” ว่า “ต่อไปนี้หน้าที่ของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ จะต้องไม่ใช่บัญชีเอาไว้ ‘ออม’ อีกต่อไป หน้าที่ของมันจะกลายเป็นบัญชีสำหรับ ‘ใช้’ เท่านั้น”

“เงินสภาพคล่องที่เหลือเราต้องไปหาที่พักเงินที่อื่นที่มีสภาพคล่องไม่ น้อยไปกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่ต้องมีผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยที่ความเสี่ยงต้องน้อยมากๆ หรือแทบไม่มีเลย ซึ่งตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ กองทุนรวมตลาดเงิน”

อย่างไรก็ตาม “Insuranger” บอกว่า สำหรับเขาแล้ว “กองทุนรวมตลาดเงินผสมตราสารหนี้” (หรือกองทุนที่มักจะมีคำว่า PLUS ต่อท้าย และมีความเสี่ยงในระดับ 4) น่าสนใจกว่ากองทุนรวมตลาดเงินธรรมดา เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนตลาดเงินเล็กน้อย แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ในขณะที่บางกองทุนสภาพคล่องไม่ต่างกัน

“ถ้าดูที่ความคุ้มค่าของผลตอบแทนกับความเสี่ยง KFSPLUS ดีที่สุด แต่ข้อเสียคือ มีเงื่อนไขเรื่องซื้อขั้นต่ำ แต่ถ้าใครไม่ติดเรื่องนี้ ก็เหมาะมาก แต่ถ้าดูโดยรวม TMBMPLUS จะดูดีสุด มีผลตอบแทนที่ดี ความเสี่ยงไม่สูง แถมระบบการใช้งานจริงผ่าน internet ค่อนข้างง่าย จึงเป็นกองยอดนิยม”

แต่ถ้ายังกลัวกองทุนความเสี่ยงระดับ 4 จะทำให้ไม่สบายใจ (แม้จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น) จะไปเริ่มต้นที่กองทุนรวมตลาดเงินก็ไม่ว่ากัน เพราะแม้จะเพิ่มความยุ่งยากในชีวิตและต้องวางแผนการเงินเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผลตอบแทนที่ได้ดีกว่าเงินฝากก็คุ้มค่าน่าลอง