กับดัก DCA ติดหล่มจะล่มจม!
โอ้ย!!! กลุ้ม ไม่รู้จะเชื่อใครดี เพราะหลังจากที่ลงทุนโดยแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar Cost Averaging (DCA)
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
โอ้ย!!! กลุ้ม ไม่รู้จะเชื่อใครดี เพราะหลังจากที่ลงทุนโดยแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) มาพักใหญ่ จากกำไรสวยๆ ตอนนี้กลายเป็นขาดทุนขำๆ ไปหลายบาท
แม้ว่าจะขาดทุน (อย่างไม่เคยเจอมาก่อน) แต่ก็ยังแน่วแน่แข็งใจลงทุนต่อไป เพราะมั่นใจว่าหลักการนี้ดีแน่นอนสำหรับการลงทุนระยะยาว
แต่พอมาเจอคำแนะนำที่บอกให้ “โยกเงิน” ไปลงทุนอย่างอื่นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ก็ชักจะเริ่มไขว้เขว จิตใจที่แข็งแกร่งกับหลักการ DCA ชักเริ่มหวั่นไหว ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี
โชคดีที่ได้คำแนะนำจากฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส ซึ่งเป็น “กูรู” ด้านการลงทุนตัวจริงเสียงจริง เลยทำให้ได้คำตอบที่ชัดเจน
หลังจากไขข้อข้องใจจนกระจ่าง จนต้องนำมาบอกให้รู้ทั่วกันเผื่อว่าจะมีใครกำลังปวดหัวกับปัญหาเดียวกัน
ติดใจเพราะลงทุนประจำ
ก่อนจะไปค้นพบ “ทางออก” ร่วมกัน ต้องขออนุญาตเซียน DCA ที่ต้องปูพื้นฐานความรู้เรื่อง DCA กันก่อน
การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่เราเลือกไว้ เป็นประจำ สม่ำเสมอ ด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยไม่สนใจว่าในเวลานั้นหลักทรัพย์ที่เราเลือกไว้ราคาจะอยู่ที่เท่าไร จะขึ้น หรือลงอย่างไร
เช่น เราตั้งใจจะซื้อกองทุนที่ลงทุนอ้างอิงกับดัชนีตลาดหุ้นไทย ทุกวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน ด้วยเงินจำนวน 2,000 บาท โดยไม่สนใจว่าในวันนั้นตลาดหุ้นไทยจะขึ้นหรือลง
แทนที่เราจะเก็บเงิน 4.8 หมื่นบาท ไปสุ่มซื้อในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นวันที่เราคิดว่า “ได้ราคาที่ดีที่สุดแล้ว” แต่ในความเป็นจริงเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า วันนั้นคือวันที่ดีที่สุดจริงๆ หรือไม่
แต่การลงทุนตามหลักการ DCA จะทำให้เราซื้อหลักทรัพย์ หรือกองทุนได้ในต้นทุนเฉลี่ยที่ถูกกว่าการเข้าซื้อในวันใดวันหนึ่ง
นั่นเพราะหากหุ้นตกวันที่เราซื้อเงินจำนวน 2,000 บาท ของเราจะสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนหน่วยมากขึ้น เพราะราคาถูกลง
แต่หากวันนั้นหุ้นขึ้นพอดีเงิน 2,000 บาท เราก็จะได้จำนวนหน่วยลงทุนน้อยลง เพราะราคาสูงขึ้น
ดังนั้น เมื่อนำต้นทุนที่ซื้อตลอดปีมาเฉลี่ยกันแล้ว มีโอกาสที่ต้นทุนจะต่ำกว่าการทุ่มซื้อด้วยเงินก้อนเพียงครั้งเดียว
สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย บอกว่า “ปัจจัยของความสำเร็จของกลยุทธ์ DCA คือ ความมีวินัยและความสม่ำเสมอในการลงทุนให้ความได้เปรียบด้านต้นทุน”
ติดกับเพราะหลายใจ
เพราะ “หัวใจสำคัญ” ของ DCA คือ ความมีวินัยและความสม่ำเสมอในการลงทุน แต่แทบจะไม่เคยมีใครบอกเลยว่า เราควรจะ “มั่นคง” อยู่กับหลักทรัพย์ หรือกองทุนที่เราเลือกลงทุนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งไปตลอดกาล
แต่กลับมีคำแนะนำการลงทุนเป็นการทั่วๆ ไป ว่า เราควรจะปรับพอร์ต หรือ “โยกเงิน” จากตลาดที่คาดว่าจะมีผลดำเนินงานไม่ดี ไปตลาดที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดี
เช่น ในปีนี้ถ้ามีเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นเอเชียก็อาจจะลดจำนวนเงินลงทุนลงหน่อย เพราะปีนี้ตลาดหุ้นเอเชียอาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่ให้หันไปเพิ่มเงินลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นให้มากขึ้นหน่อย เพราะคาดว่าจะเป็นตลาดที่ให้กำไรดีในปีนี้
ก็เลยทำให้นักลงทุน DCA อย่างเราสับสนว่า ควรจะโยกเงินไปตามคำแนะนำ หรือควรจะมั่นคงอยู่กับกองทุนเดิมต่อไป
ประภาส บอกว่า การลงทุนแบบ DCA ควรจะลงทุนในตลาดใดตลาดหนึ่งไปตลอด ไม่ควรจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะหลักการลงทุนแบบ DCA ไม่เหมือนกับการลงทุนด้วยเงินก้อน
“การโยกเงินไปมาอาจจะทำให้มีปัญหา เพราะถ้าโยกเงินไปในจังหวะที่ถูกต้องก็ดี แต่ถ้าโยกไปในจังหวะที่ไม่ถูกต้องก็จะเจ็บตัว” ประภาส กล่าว
พร้อมกับบอกด้วยว่า ลงทุนแบบ DCA ในตลาดหุ้นไทยเพียงตลาดเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะในระยะยาว หรือ 10 ปีนับจากนี้ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8-10% ได้สบายๆ
“นักลงทุนแบบ DCA จะเจ็บตัวตอนที่ตลาดเคลื่อนไหวเป็นรูปตัววีคว่ำ แต่จะกำไรตอนที่เคลื่อนไหวเป็นรูปตัววี (V) ใน 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวขึ้นลงสลับกัน และเริ่มจะกลับไปเป็นรูปตัวดับเบิ้ลยู (W) ซึ่งหากตลาดหุ้นไทยกลับไปที่ 1,500 จุด คนที่ลงทุนแบบ DCA จะไม่เจ็บตัว” ประภาส กล่าว
เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะ DCA อย่าเป็นคนหลายใจ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ติดกับเพราะไม่ทันสมัย
อย่างไรก็ตาม ประภาส บอกว่า นักลงทุนแบบ DCA สามารถ “จัดพอร์ต” ที่เหมาะสมกับตัวเองได้ และสามารถลงทุนผสมหลายๆ สินทรัพย์หลายๆ กลุ่ม หลายๆ ประเทศก็ได้ เพียงแต่ต้อง “ปรับพอร์ต” เพื่อรักษาโครงสร้างของพอร์ตเอาไว้อย่างน้อยปีละครั้ง
เช่น ลงทุนกองทุนหุ้นไทย 50% ลงทุนกองทุนหุ้นต่างประเทศอีก 50% โดยแบ่งเป็นกองทุนหุ้นสหรัฐ 25% และกองทุนหุ้นยุโรป 25%
พอเวลาผ่านไปตลาดหุ้นยุโรปอาจจะดีขึ้นจนทำให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 35% ซึ่งเกินกว่า 25% ที่ตั้งใจไว้แต่แรก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำ คือ ขายกองทุนหุ้นยุโรปออกไป 10% เพื่อให้สัดส่วนกลับมาอยู่ที่ 25% ตามเดิม
“ถ้าไม่ปรับไส้ในของพอร์ตอาจจะมีปัญหา เพี้ยนไปจากสัดส่วนเดิม ซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่เราต้องรักษาวินัยในการลงทุนเอาไว้” ประภาส กล่าว
ติดกับเพราะหุ้นตัวเดียว
แต่ไม่ว่าจะโยกเงินไปมา หรือไม่ปรับพอร์ตให้ทันสมัย ก็อาจจะไม่น่าห่วงเท่ากับการลงทุนแบบ DCA ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว เพราะประภาสบอกว่า หุ้นรายตัวไม่เหมาะที่จะลงทุนด้วยวิธี DCA เพราะมีความเสี่ยงมากเกินไป
“การลงทุนแบบ DCA ในหุ้นรายตัวจะมีความเสี่ยงสูง ยกเว้นว่า จะ DCA ในหุ้น 20 ตัว เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการ DCA หุ้นเป็นตัวๆ” ประภาส กล่าว
เช่นเดียวกับ ฉัตรพี ที่บอกว่า หาก DCA ในหุ้นรายตัวต้องคอยติดตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นด้วย และควรจะหยุดลงทุนหากปัจจัยพื้นฐานแย่ลง
เว้นแต่ว่ามั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทก็ไม่ต้องตกใจ ถ้าระหว่างทางราคาหุ้นจะตก
ดังนั้น ควรลงทุนในกองทุนหุ้น หรือกองทุนดัชนี ที่มีหุ้นหลายๆ ตัวจะดีกว่าหุ้นตัวเดียว เพราะจะได้กระจายความเสี่ยงได้มากกว่า
ได้ยินแบบนี้ก็ทำให้เดินหน้า DCA กองทุนหุ้นไทยได้อย่างสบายใจ


