posttoday

ซิตี้แบงก์คาดศก.โลกโต3%

21 มิถุนายน 2560

นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้โตได้ 3% แนะลงทุนภายใต้ 4 ธีมเด่นครึ่งปีหลัง

นักวิเคราะห์ซิตี้แบงก์คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้โตได้ 3% แนะลงทุนภายใต้ 4 ธีมเด่นครึ่งปีหลัง

นายเอเดรียน ไวสส์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการบริหารความมั่งคั่ง ธนาคารซิตี้แบงก์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีเป็นการขยายตัวในทุกภูมิภาคเป็นผลจากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจคลี่คลาย การลงทุนเริ่มฟื้นตัว และดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ จึงประมาณการว่าปีนี้เศรษฐกิจโลก (จีดีพี) จะเติบโตถึง 3% และปีหน้าเติบโตได้ 3.3%

ทั้งนี้ คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 2.1% ยุโรป 2% ญี่ปุ่น 1.7% เอเชีย 6% จีน 6.6% ส่วนประเทศไทยคาดว่าปีนี้ จีดีพีเติบโต 3.4% และปีหน้าเติบโต 3.6%

อย่างไรก็ดี ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ การชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจจีน นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐของภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่แน่นอน ธนาคารกลางส่วนใหญ่ของโลกยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ยกเว้นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

สำหรับครึ่งปีหลัง ซิตี้แบงก์มองหนังคนละม้วนกับครึ่งปีแรก จากที่ราคาทองคำขึ้น และน้ำมันลง แต่ครึ่งปีหลังมองว่าทองคำเริ่มขาลง ส่วนราคาน้ำมันจะปรับขึ้นหลังจากโอเปกลดกำลังการผลิตและเศรษฐกิจโลกเติบโต ส่วนโอกาสยังอยู่ในตลาดเกิดใหม่ที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลก หลังจากหุ้นสหรัฐพี/อีพุ่งไป 19 เท่าแล้ว แต่เอเชียพี/อีอยู่ที่ 13 เท่า จึงมองบวกในหุ้นเอเชีย

นายไวสส์ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำการลงทุน ภายใต้ 4 ธีมใหม่ ได้แก่ ธีมเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ ทำให้ผลประกอบการบริษัทเติบโตดี แนะการลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย หุ้นยุโรป และหุ้นวัฏจักร ได้แก่ พลังงาน การเงิน และเทคโนโลยี

ขณะที่ธีมที่ 2 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นช้า จึงยังเป็นเทรนด์ของสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนมั่นคง ควรลงทุนตราสารหนี้ของสหรัฐและยุโรปที่อยู่ระดับน่าลงทุน ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ เช่น บราซิล เม็กซิโก อินโดนีเซียและอินเดีย และตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนสูง

สำหรับธีมที่ 3 ความเสี่ยงทางการเมือง แนะให้ลงทุนที่หลากหลายประเภทและกระจายความเสี่ยง สุดท้ายธีมที่ 4 ค่าเงินเหรียญสหรัฐผันผวน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองกดดันไม่ให้เงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น แม้จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเฟด ซึ่งการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐส่งผลดีต่อค่าเงินยูโร เงินปอนด์ เป็นโอกาสลงทุน