posttoday

คลังลงขันเอไอไอบี2พันล.

25 พฤษภาคม 2559

ครม.อนุมัติงบกลาง 2,027 ล้านบาท ลงขันก้อนแรกตั้งธนาคาร เอไอไอบี ชี้สัดส่วนสูงกว่ามาเลย์ สิงคโปร์

ครม.อนุมัติงบกลาง 2,027 ล้านบาท ลงขันก้อนแรกตั้งธนาคาร เอไอไอบี ชี้สัดส่วนสูงกว่ามาเลย์ สิงคโปร์

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติงบกลางประจำปี 2559 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน เพื่อนำไปชาระเป็นเงินทุนงวดแรก เพื่อการจัดตั้งธนาคารเพื่อการลงทุน ในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Aisan Infrastructure Investment Fund : AIIB) จำนวน 2,027 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคนอาจรู้จักธนาคารเอดีบีและไจก้า ซึ่งมีญี่ปุ่นเป็นแกนหลัก แต่จะมีธนาคารเอไอไอบีขึ้นมาอีกแห่ง ซึ่งมีจีนเป็นผู้ถือหุ้นหลัก จัดตั้งขึ้นมาเพื่อปล่อยเงินกู้สำหรับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย โดยมีไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่สถานะจะต่างจากการเป็นสมาชิกเอดีบีหรือไจก้า ซึ่งส่วนใหญ่ไทยเป็นผู้กู้ แต่กับเอไอไอบีไทยมีสถานะเป็นผู้ให้กู้ และเงินงวดแรกที่ชาระ 2,027 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นสัดส่วนที่มากกว่าสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งก็ทำให้ภาพลักษณ์ไทย ดีขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า ธนาคารเอไอไอบีได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ รวมทั้งประชุมสภาผู้ว่าการครั้งแรก และประชุมคณะกรรมการครั้งแรกเมื่อวันที่ 16-18 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศผู้สังเกตการณ์ เนื่องจากยังไม่ได้ให้สัตยาบันและเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการ โดยธนาคารเอไอไอบีมีกำหนดจัดประชุมประจำปีครั้งแรกในเดือน มิ.ย.นี้

ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเข้าเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์และมีสิทธิออกเสียงในการกำหนดทิศทางการดำเนินการของธนาคาร จึงจำเป็นเร่งดำเนินการ กระบวนการภายใน เพื่อสามารถให้สัตยาบันก่อนการประชุมประจำปี ซึ่งตามข้อบทความตกลงนั้น สมาชิกต้องชาระค่าหุ้นงวดแรกก่อนวันฝากสัตยาบันสาร

อย่างไรก็ตาม ไทยมีข้อสงวนสิทธิในการเรียกเก็บภาษีแก่คนชาติ หมายความว่าพนักงานของเอไอไอบีที่เป็นคนไทยและทำงานในสาขาที่อยู่ภายในประเทศไทย จะต้องเสียภาษีตามปกตินั่นเอง

ขณะเดียวกัน ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้กรมสรรพากรยกเลิกโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี 3 โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1,347,823,900 บาท ประกอบด้วย 1.โครงการการพัฒนาระบบงานภายในสำนักงาน 2.โครงการจัดหาครุภัณฑ์สำนักงาน และ 3.โครงการปรับปรุงพื้นที่ส่วนให้บริการประชาชน

โดยกรมสรรพากรเห็นว่า เป็นโครงการขนาดใหญ่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารสัญญา เช่น การส่งมอบ การแก้ไขสัญญา รวมถึงการตรวจรับ รวมทั้งรัฐบาลมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมาก จึงขอชะลอโครงการไว้ก่อน หากมีความจำเป็นก็จะขออนุมัติจัดสรรงบเป็นกรณีไป