เซตซีโร่อำนาจให้คุณให้โทษ สำนักพุทธฯ ดีไหม
เรื่องวัดในพระพุทธศาสนา เรื่อง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการบริหารจัดการผลประโยชน์
โดย...ส.คนจริง
เรื่องวัดในพระพุทธศาสนา เรื่อง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการบริหารจัดการผลประโยชน์ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ พศ. เรียกเงินทอนจากเงินอุดหนุนโครงการต่างๆ ของวัดสูงถึง 75% จึงมีการเรียกร้องต่างๆ เช่น ขอให้แก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์เพื่อให้ตรวจสอบเงินวัดได้ ให้ปฏิรูปพระพุทธศาสนาเพื่อให้เป็นที่ตั้งศรัทธา ประสาทะของชาวพุทธให้ยั่งยืน
เมื่อดูเรื่องบริหารจัดการผลประโยชน์ ก็จะโยนเข้าเรื่องระบบบัญชีของวัดที่ไม่โปร่งใส โดยอ้างว่าผู้ที่มีอำนาจในการเบิกจ่ายมักจะเป็นเจ้าอาวาสเท่านั้นจึงเสนอให้วัดจัดทำบัญชี ให้มีการรับรองโดยผู้ตรวจสอบบัญชี ดังที่บริษัทของเอกชนต่างๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติ เรื่องแบบนี้เจ้าอาวาสที่ไม่ได้เรียนบัญชี ฟังว่า ทำบัญชีแล้วยังต้องตวจสอบอีก ก็รู้สึกมีทิฐิ จึงไม่ค่อยให้ความร่วมมือ
ความจริงแล้วมีไม่กี่วัดในประเทศไทยที่มีเงิน มีปัจจัยมากถึงกับต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชี เพราะวัดแต่ละแห่งมีฐานะทางการเงินไม่เท่าเทียมกัน บางวัดไม่มีปัจจัยพอจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นใครคิดจะทำอะไรกับวัด ต้องคิดหลายๆ ชั้น มิเช่นนั้นวัดจะกลายเป็นวัดร้าง ซึ่งตอนนี้ก็มีไม่ใช่น้อย
ส่วนเรื่องใหญ่เกินคำบรรยาย คือ เรื่องที่ผู้มีอำนาจหรือผู้บริหารใน พศ.ไปเรียกเงินทอนจากวัดต่างๆ ที่ได้รับเงินอุดหนุนในด้านต่างๆ จากรัฐ เช่น การสาธารณูปการ การเผยแพร่ และการอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ตามข่าวว่ามีด้วยกัน 33 วัด และที่อยู่ในข่ายทุจริตมี 12 วัด ซึ่ง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการ พศ. ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุเมื่อเช้าวันที่ 16 มิ.ย. 2560 ว่าเจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป โดยยืนยันว่ามีข้าราชการระดับสูงขั้น ซี8 ซี9 อยู่ในข่ายทำผิดตามที่เป็นข่าว ซึ่งตำรวจจะให้รายละเอียดได้ดีกว่า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าช่องโหว่อยู่ตรงไหน ในการเรียกเงินทอนจากวัดได้มากขนาดนั้น พ.ต.ท.พงศ์พร บอกว่า ใช้อำนาจในการอนุมัติได้ตามอำเภอใจ ขาดการตรวจสอบ ควบคุมและถ่วงดุล โดยเฉพาะในปี 2558 ให้วัดทำเรื่องขอได้โดยตรง และ พศ.ก็มีอำนาจอนุมัติ และจ่ายไปยังวัดโดยตรง แต่หลังปี 2558 มีระเบียบใหม่ ให้วัดทำคำขอผ่าน พศจ. หรือสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัด หลังจากนั้นจึงดีขึ้น
เมื่อถามว่า เจ้าอาวาส ไวยาวัจกร จะโดนความผิดหรือไม่ (ในกรณีเงินทอน) พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวว่า คนที่ร่วมทำผิดโดยเจตนาและมีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องมีความผิด เงินเมื่อเข้าบัญชีวัด เงินนั้นเป็นของวัด และตาม พ.ร.บ.สงฆ์นั้น ฐานะเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงาน ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนตัวเลขความเสียหายนั้น ผู้อำนวยการ พศ. กล่าวว่า ตามที่ตำรวจแถลง คือ 40-60 ล้านบาท
เมื่อถามว่า พศ.จะมีอำนาจตรวจสอบอะไรได้บ้างหรือไม่ ผู้อำนวยการ พศ. กล่าวว่า พศ.มีหน้าที่คุ้มครองพระพุทธศาสนา แต่อำนาจไม่มี เมื่อมีปัญหา พระสงฆ์ที่มีอำนาจก็ให้ความร่วมมือดี
เมื่อถามว่า จะแยกทรัพย์สินวัดและเจ้าอาวาสทำได้ไหม ผู้อำนวยการ พศ. กล่าวว่า ทำได้ เพราะเจ้าอาวาสมีอำนาจหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของวัด เช่น เงินทอนนั้นต้องเข้าบัญชีวัด พร้อมกันนั้นก็บอกว่าจะถอนก็ต้องลงนามร่วม มิใช่ถอนตามอำเภอใจ มิเช่นนั้นจะเกิดความมิชอบขึ้น แต่ส่วนมาก (การถอนเงิน) เป็นอำนาจเจ้าอาวาสเพียงผู้เดียว หรือถ้าตั้งคนมาคุม คนคนนั้นก็อยู่ในอำนาจของเจ้าอาวาส
สิ่งที่ต้องการทำ คือ ทำบัญชีทรัพย์สินของวัดให้ชัดเจน การจะยักเงินไปเป็นของตน หรือไม่ลงบัญชีตามที่ได้รับมาจริง ทำยาก เงินของกลางจะไม่ไปไหน ไม่เป็นของส่วนตัว เพราะบัญชีบอกที่มาที่ไปได้
ผู้อำนวยการ พศ. กล่าวว่า ถ้าเอาทรัพย์สินของวัดเป็นตัวตั้ง จัดระบบทำบัญชีที่มีประสิทธิภาพ ให้มีการตรวจสอบควบคุม และการเปิดเผย 3 มาตรการนี้ จะป้องกันการทุจริตได้ ทั้งเงินบริจาค และรายได้ของวัด หรือเงินอุดหนุนวัดที่ได้มา เพราะจะถอนยากขึ้น
สำหรับผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่า ถ้าทำได้ย่อมเกิดผลที่ดีในทางปฏิบัติ กล่าวคือให้ พศ.มีหน้าที่ในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว ยิ่งทำหน้าที่ตำรวจพระได้ยิ่งดี โดยขอให้ยกเลิกไปเลย คือ อำนาจอนุมัติเงินอุดหนุนวัด เช่น การสาธารณูปการ การเผยแพร่ และการอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม ตามที่เป็นข่าว
ต่อไปวัดหรือองค์การ ที่ต้องการเงินอุดหนุนจากรัฐ ให้จัดทำงบประมาณประจำปี ส่งตรงสำนักงบประมาณไปเลย แบบนี้จะบริหารจัดการและมองเห็นเป้าหมายการทำงานได้ชัดเจนขึ้น
ดังนั้น ถึงเวลาเซตซีโร่ อำนาจให้คุณให้โทษของ พศ.ได้แล้ว


