posttoday

สมเด็จพระสังฆราช ทรงขอให้มีความสามัคคี

19 กุมภาพันธ์ 2560

คลื่นประชาชนชาวพุทธแน่นวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หลังจากให้ประชาชนเข้าเฝ้าถวายสักการะและมุทิตา

โดย...สมาน สุดโต

คลื่นประชาชนชาวพุทธแน่นวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หลังจากให้ประชาชนเข้าเฝ้าถวายสักการะและมุทิตาสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 วันที่ 13-15 ก.พ. 2560

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงโปรดฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพรมหาเถระ) เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2560 วันรุ่งขึ้น (13-15 ก.พ.) โปรดเมตตาให้ประชาชนทั่วไป รัฐบาลและหน่วยงานราชการ และศาสนาเข้าเฝ้าถวายพระพร ที่พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในการนี้พระองค์ได้ประทานโอวาทแก่ประชาชนด้วย ซึ่งมีพระดำรัสเรื่องสามัคคีถึง 2 วัน

พระโอวาทวันที่ 13 ก.พ. 2560 ตรัสเรื่อง ศีล สมาธิ และปัญญา ว่า ท่านทั้งหลายมีธรรม ความดีงามประจำใจอยู่ และขอให้รักษาความดีความงามที่มีให้คงอยู่ตลอดไป ขอให้รักษาจิตใจที่เลื่อมใส ศรัทธาในพระรัตนตรัยให้คงที่ไว้ หลักธรรม 3 ข้อ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนและขอให้ยึดถือประจำ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ทำกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ นึกถึงสภาวธรรมที่ว่างเป็นปกติ มีสมาธิ ปัญญาก็เกิด ตามลำดับ ฉะนั้นขอให้นึกถึงหลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้สอนเราไว้ 3 ข้อง่ายๆ ทุกคนก็จะมีความสุขใจ

วันที่ 14 ก.พ. 2560 ให้สติแก่นายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหัวหน้า คสช. เข้าเฝ้าที่พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจมาบริหารประเทศเองตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 ก็เพิ่งมีโอกาสกราบสมเด็จพระสังฆราชตัวจริง ฟังโอวาทจริง แต่ก่อนนั้นไม่ได้ไปกราบแม้แต่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สังฆราช สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)

พระโอวาทที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ประทานแก่คณะรัฐมนตรี ไม่มีอะไรที่ต้องตีความ เพราะเป็นหลักธรรมง่ายๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีบอกว่าจะน้อมนำคำสอนสมเด็จพระสังฆราช ไปปฏิบัติ ใช้สติทำงาน ไม่ประมาท ให้บ้านเมืองสงบสุข พร้อมทั้งบอกว่าได้สนทนาธรรมรับปากจะนำศีลธรรมกลับมาสู่สังคมไทย

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม.ว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงให้กำลังใจรัฐบาล และ คสช.ในการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติต่อไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ตกอยู่ในความประมาท พร้อมมีพระดำรัสในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องศาสนา ซึ่งทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องการมีสติ สัมปชัญญะ รู้คิด รู้ตัว รู้ปฏิบัติ ทุกคนคงเข้าใจอยู่แล้วว่า มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ เพราะฉะนั้นอย่าไปผูกติดลุ่มหลงอยู่ตรงนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่แล้ว ตนเองก็ไม่เคยคิดที่จะอยู่ไปตลอดนานเท่านาน ทุกอย่างถือเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องทำ

ในช่วงสนทนาธรรม นายกรัฐมนตรีได้กราบทูลว่า คงต้องให้คำแนะนำกับประชาชนคนไทยให้หันกลับมาดูในเรื่องของศีลธรรม ซึ่งพระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งถึงหน้าที่พลเมือง เรื่องศีลธรรม โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวถวายว่า วันนี้คนเราที่นับถือศาสนาพุทธ มีศีลธรรม แต่พอถึงเวลาก็ลืมหมด

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้กราบทูลด้วยว่า สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้คือทำอย่างไรให้สังคมไทย ข้าราชการใช้ศีลธรรมนำการทำงาน คือ มีหิริโอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป วันนี้หลายคนอาจจะลืม แต่นายกรัฐมนตรีได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ถ้าทำอะไรผิดจะรู้สึกเกรงกลัวและละอาย ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังมีอยู่หรือไม่ ดังนั้นเวลาที่จะพูดหรือทำอะไรออกมา ถ้าไม่ใช่ ตนก็ไม่สามารถที่จะโกหกหรือบิดเบือนได้ เพราะละอายแก่ใจตัวเอง จะพูดจากเลวให้เป็นดีก็ไม่ได้ วันนี้ทุกคนต้องช่วยกันสร้างสังคมให้เข้มแข็ง

“วันนี้ปัญหาหลักของบ้านเรามีอยู่ 3 อย่าง ประกอบด้วย ประชาธิปไตย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และการศึกษา ซึ่งต้องมีหลักคิด หลักการปฏิบัติให้ถูกต้อง ถึงจะคิดถูกเราจะต้องทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น” นายกฯ กล่าว

เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2560 เวลา 16.10 น. สมเด็จพระสังฆราชเสด็จประทับหน้าพระอุโบสถ ประทานพระโอวาทแก่พุทธศาสนิกชนว่า ขออำนวยพรพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ท่านทั้งหลายที่ได้มีสมานฉันท์มีจิตใจเปี่ยมด้วยความมุทิตาซึ่งเป็นหนึ่งในพรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ขออนุโมทนาแก่ทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ที่ได้สละเวลาอันมีค่าในการทำหน้าที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้และมาดูแลความเรียบร้อย

พระองค์ท่านมีพระดำรัสว่า เมื่อ 2 วันก่อนได้พูดถึงความสามัคคีเพราะวัดนี้สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระปิยมหาราชของชาวไทย และหากท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นภาษิตคำหนึ่งติดที่ประตูเข้าพระอุโบสถ คือ สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชได้เมตตาแปลเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ความพร้อมเพรียงแห่งชนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ยังความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้น

 ฝ่าพระบาทยังเมตตาเล่าถึงที่มาของพุทธภาษิตนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม คิดคำธรรมะมาเป็นภาษิตประจำใจและเป็นคำเตือนใจประชาชน ข้าราชการ ทหารตำรวจ ฝ่ายปกครองได้ปฏิบัติยึดถือกันมา ให้ยึดธรรมภาษิตบทนี้ ขอให้จำคำนี้ไว้ นอกจากนี้ขอให้ทุกฝ่ายอย่าแก่งแย่งกัน ขอให้ช่วยกันคิดค้นคว้าที่จะพัฒนาจิตใจด้วย