posttoday

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

13 พฤศจิกายน 2559

ปี 2524 ผมจะต้องบรรพชาในวันที่ 1 เม.ย. แต่ปรากฏว่าเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น เลยต้องเลื่อนออกไปในวันที่ 3 เม.ย. 2524

โดย...ราช รามัญ

ปี 2524 ผมจะต้องบรรพชาในวันที่ 1 เม.ย. แต่ปรากฏว่าเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น เลยต้องเลื่อนออกไปในวันที่ 3 เม.ย. 2524 หลังจากสถานีวิทยุกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ โดนยิงเสาอากาศวิทยุหัก บรรพชาที่วัดเบญจมบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ โดยมี สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (มหานิกาย) เป็นพระอุปัชฌาย์ แม้ในส่วนความชอบจะใฝ่ในธรรมยุติกนิกายมาแต่เล็กแต่น้อยก็ตาม เพราะเป็นพระสายปฏิบัติ ก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นมารดา

การบิณฑบาตเป็นไปอย่างสบายมาก เพียงแค่ข้ามธรณีประตูวัดทางฝั่งตรงข้ามกับคลองก็มีรถยนต์มากมายมาจอดรอใส่บาตร เมื่อได้เต็มบาตรก็ต้องกลับเข้าวัดทันที บางวันโชคไม่ดีนกพิราบบินแล้วถ่ายมูลใส่หัวสามเณรก็มีบ่อยครั้ง

ผ่านไป 5 วัน มารดามารับไปบ้านที่ ส.ภาณุรังษี บางกรวย เพื่อไปหาหลวงพ่อรูปหนึ่งที่แม่เคารพมาก ท่านมีนามว่า หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ วัดสนามใน บางกรวย นนทบุรี หลวงพ่อท่านพูดไทยไม่ชัด ฟังไม่ค่อยสะดวกแต่พยายามฟัง ในวันนั้นท่านถามผมว่า

“เณรมาอยู่ที่วัดนี้ไหม”

ผมบอกไปตามประสา ว่า

“ไม่อยู่...วัดมีแต่ต้นไม้กับท้องร่อง (แบบสำหรับทำสวน)

วัดผมวัดหลวงใหญ่กว่า พระอาจารย์ผมเป็นพระมียศนะ เป็นสมเด็จด้วย”

หลวงพ่อเทียนรูปนี้ได้แต่จ้องมองตาเขม็งมองมาที่ผม แต่สอดด้วยนัยแห่งรอยยิ้มแห่งความเมตตา แล้วท่านเดินมาจับแขนบีบเบาๆ พร้อมกับถามว่า

“รู้สึกตัวไหม ลูกเณร”

นึกในใจ...นี่สามเณรไม่ใช่คนตาย จะไม่รู้สึกได้อย่างไร จากนั้นเดินไปที่พื้นกลางวัด มีคนนั่งหลบอยู่ใต้ผ้าใบกันแดดด้วยการนั่งยกมือไปมา แปลกๆ ไม่เคยเห็น มารดาบอกนี่คือการปฏิบัติธรรม ชอบไหม ผมบอกว่า ยกมือแบบนี้เหาะไม่ได้ ไม่ชอบ ชอบแบบมีปาฏิหาริย์ สุดท้ายกลับออกมาจากวัดสนามใน ร่นไปดุสิตถิ่นเดิม นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ได้พบกับหลวงพ่อเทียน

ครั้นในวัยต่อมามีโอกาสอุปสมบทอีกคราว ครานี้เลือกธรรมยุติกนิกายได้ตามที่ใจปรารถนา การปฏิบัติธรรมด้วยรูปแบบสมาธินั่งตรงตัวแข็งฝึกมานานแล้ว แต่ไม่เห็นได้อะไรเสียทีนอกจากอาการนิ่ง ราวกับผี เดินแข็งทื่อ โยมแม่จึงบอกว่าควรไปฝึกกับหลวงพ่อเทียน เพื่อให้เกิดภาวะแห่งปัจจุบันขณะ ด้วยการเจริญสติ

แต่วันนั้นที่ไป ไม่มีแล้วหลวงพ่อเทียน มีแต่หลวงพ่อทอง และหลวงพ่อสมบูรณ์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียน ทั้งสองท่านมีเมตตามาก แนะนำในแนวการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนให้อย่างละเอียด แนวทางการปฏิบัติเจริญสติของหลวงพ่อเทียนบอกได้เลยว่า เป็นการปฏิบัติที่สามารถทำให้ใจตื่นรู้ได้อย่างแท้จริง เป็นการปฏิบัติลดความทุกข์ให้น้อยลงจริง

คำว่า รูปนาม ที่เราคุ้นเคยจากการท่องจำมาจากตำราคัมภีร์ เมื่อมาเจอสภาพสภาวะจริงๆ แล้วเป็นอย่างนี้เองจากการท่องจำ กายนั้นเป็นรูป นามนั้นเป็นใจ หรือจิต แต่เมื่อปฏิบัติจึงทำให้เราทราบอย่างชัดเจน ขณะที่มือของเราเคลื่อนไหวนั้นมันเป็นเพียงกายหรือรูปเคลื่อนไหว ใจก็นิ่งสงบแบบใจของเขาไป จึงทำให้เขียนโศลกธรรมได้ขึ้นมาว่า

“กายไหว ใจสงบ”

กายที่เคลื่อนไหวก็ไหวไป ใจก็คือใจ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องติดพันกันและกัน ไม่มีอะไรที่จะต้องมาร้อยรัดกัน เป็นอิสระจากกัน แต่ทำงานร่วมกัน

“พยายามเอาความรู้สึกตัวให้ชัด เอาสติมารู้ แต่รู้แล้วอย่ายึดว่ามันเที่ยงแท้ รู้แล้วปล่อยนะ รู้แล้วปล่อย”

เป็นคำของหลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านสอนไว้ เชื่อแล้วจริงๆ ว่า ความคิดก็ส่วนความคิด และเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงล้วนมาจากความคิดทั้งสิ้น หลวงพ่อเทียนท่านจึงพูดเสมอว่า เมื่อแมวเห็นหนู ก็จะจับทันที หลายคนอาจสับสนว่า ไม่ให้คิดแล้วจะทำการงานได้อย่างไร คำตอบ คือ ความคิดที่มีความรู้สึกตัว มีสติกำกับ จะคิดทีละเรื่องไม่ใช่คิดไปทีละหลายเรื่องในเวลาไม่ถึง 5 นาที จะคิดแต่สิ่งที่อยู่ตรงเฉพาะหน้าตรงนี้เท่านั้นจริงๆ เมื่อเข้าใจชัดแล้วว่า กายใจตัดขาดจากกัน แต่ทำงานร่วมกันเพื่อการดำรงอยู่ สิ่งที่เราจะเบาลงเองโดยอัตโนมัติ คือ ความทุกข์ จากการปรุงแต่งทางความคิดและความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์เพราะการรับรู้ในบางสิ่ง โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามที่จะทำให้ใจคิดบวก แต่มันจะไม่ลบไม่บวกด้วยของตัวจิตใจเองอย่างนั้นจริงๆ

อ่านต่อฉบับหน้า