ระวังขัดคำสั่ง ม.44

โดย...ส.คนจริง

นับว่าเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ใช้ ม.44 มาอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ

วันที่ 22 ส.ค. 2559 คำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย มีทั้งหมด 5 ข้อ คล้ายกับอธิบายหรือขยายความในมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญ ที่เพิ่งผ่านประชามติ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2559 เพราะตามข่าวว่าชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัด ไม่พอใจที่รัฐธรรมนูญเลือกส่งเสริมเฉพาะพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เสียงโหวตไม่รับรัฐธรรมนูญจึงมากกว่ารับ หาก คสช.ไม่ทำอะไร จะเกิดความแตกแยกและไม่สมานฉันท์

เคยถามพระรูปหนึ่งว่า คิดอย่างไรกับคำสั่งนี้ พระท่านไม่ยอมให้เปิดเผยชื่อบอกว่า เรื่องแบบนี้เหมือนครูลงโทษนักเรียนทั้งชั้น ทั้งๆ ที่มีนักเรียนทำผิดเพียงคนเดียว จึงตั้งเป็นคำถามว่ายุติธรรมกับนักเรียนที่ไม่ได้ทำผิดแล้วหรือ

คำสั่งนี้มองธรรมดาๆ ก็เป็นคุณแก่ทุกศาสนา ยกเว้นพระพุทธศาสนาจะถูกยกขึ้นมาพูด และกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ให้พระทำมากที่สุด

พระสงฆ์รูปนี้ยังมองอีกว่า เป็นคำสั่งที่ช่วยให้คนกลุ่มหนึ่งที่อยากปฏิรูปพระพุทธศาสนามีช่องทางเดินหน้าได้อีกยาวไกล ในส่วนของศาสนาอื่นๆ นั้น พระท่านว่าใครกล้าไปแตะต้องได้ มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่ถูกรุมในขณะนี้ ท่านบอกว่าที่พูดนี้ไม่เกินความจริง ให้ดูการตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ก็ได้ พระเถระที่อาวุโสโดยสมณศักดิ์ ตามกฎหมายต้องได้รับแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ถูกพระรูปหนึ่งกับฆราวาสกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง หาเรื่องสร้างมลทินให้ท่านตลอด ในขณะที่รัฐก็ดูเหมือนจะคล้อยตามคนกลุ่มนี้เสียด้วย เป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับคำสั่งว่าอุปถัมภ์และคุ้มครอง มิเช่นนั้นรัฐคงไม่ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาย่ำยี ดูหมิ่นเหยียดหยาม พระเถระที่มีศักดิ์เป็นประมุขของคณะสงฆ์ทั้งมวลโดยไม่หยุดหย่อน

อย่างไรก็ตาม ท่านก็มองอีกมุมหนึ่งว่า คำสั่งข้อ 1 ว่าการอุปถัมภ์คุ้มครองทุกศาสนาอันเป็นที่ยอมรับของทางราชการนั้น เป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานของรัฐ คำสั่งนี้จะช่วยให้นายกรัฐมนตรีเร่งเสนอชื่อพระเถระที่อาวุโสโดยสมณศักดิ์ เพื่อโปรดเกล้าฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช หรือไม่ เพราะถ้าชักช้าท่านเป็นห่วงว่าอาจจะขัดคำสั่งของตนเองก็ได้