ปุจฉา...จะปฏิรูป พระพุทธศาสนาอย่างไร!?
วิสัชนา : เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา... ด้วยพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
วิสัชนา : เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา... ด้วยพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา เกิดจากพระปัญญาที่ตรัสรู้ชอบ มิได้สำเร็จด้วยความนึกคิด ซึ่งเป็นเรื่องประณีตละเอียดอ่อนต่อการเข้าไปพิจารณา แม้แต่ในหมู่พระอรหันตสาวกที่มีความเป็น เอตทัคคะ ...จึงไม่แปลกที่พระอรหันตสาวก ๕๐๐ รูป ซึ่งมีพระมหากัสสปเถรเจ้า พระอุบาลี และพระอานนทเถรเจ้า เป็นต้น ได้มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า
“เราจักไม่บัญญัติ สิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติ
เราจักไม่เพิกถอน สิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
เราทั้งหลาย จักสมาทานศึกษาสำเหนียกในสิกขาบททั้งหลาย ตามที่ทรงบัญญัติไว้...”
จึงเป็นที่มาของมติเถรวาทในการกระทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ แห่งพระนครราชคฤห์ ...ทั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงความเคารพในพระธรรมวินัยดุจดังพระบรมศาสดา สมดังพระพุทธประสงค์ที่ให้ พระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาของพุทธบริษัทแทนพระองค์ เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานธาตุไปแล้ว... และนั่นคือ การแสดงออกถึงการถวายความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างสูงสุด
รากฐานของพระพุทธศาสนาจึงเข้มแข็ง มั่นคง ด้วยกำลังความศรัทธาอันตั้งมั่นในพระธรรมวินัยของเหล่าพุทธบริษัท โดยเฉพาะการน้อมรับปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ด้วยเข้าใจในความสำคัญว่า
พระวินัยนี้คือ รากแก้วของพระศาสนา...
แม้ว่าการประกาศสืบอายุพระพุทธศาสนาจะดำเนินมาอย่างมีระเบียบแบบแผนตามอริยประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมา แต่เมื่อมีปุถุชนคนหยาบไร้วาสนาเข้ามาสู่พระพุทธศาสนานี้ โดยไร้อุดมการณ์ธรรมมากขึ้น มีแต่การสร้าง อุดมการกิน มุ่งแสวงหาโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข สุดท้ายจึงทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง องค์กรพระพุทธศาสนาคือสถาบันสงฆ์สั่นคลอน ไร้คุณธรรม จึงนำไปสู่การสังคายนาในครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ ในมคธชนบท ชมพูทวีป ดังปรากฏข้ออธิกรณ์หรือเหตุที่นำไปสู่การสังคายนา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องกินอยู่หลับนอนเกลือกกลั้วกามคุณ มุ่งแสวงหาลาภอันมิควร เช่น เงินทองของมีค่า รถราม้าช้าง เรือกสวนไร่นา ฯลฯ อันเป็นวิสัยของปุถุชน...
พระธรรมวินัยหรือพุทธมติดั้งเดิมได้ถูกบิดเบือนให้ลบเลือนไปหลายส่วน ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาตามประสาจิตปุถุชนที่ห่อหุ้มด้วยกิเลส อธรรมวาที-อวินัยวาที เจริญขึ้นในศาสนจักร ธรรมวาที-วินัยวาที กลับเสื่อมโทรมลง ดังปรากฏชัดเจนในพฤติกรรมที่องค์กรพระพุทธศาสนาเริ่มเดินสวนทางกับ
พระธรรมวินัย... มีการตีความเข้าข้างตนเองและพรรคพวก เพื่อหาความชอบธรรมตามความชอบของพวกกู ...การถือปฏิบัติผิดเกิดขึ้นเป็นอาจิณณกรรม โดยเฉพาะการรับเงินทอง สั่งสมของมีค่า ขบฉันใช้สอยปัจจัยสี่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ฯลฯ ทั้งนี้ ยังไม่ต้องกล่าวถึง การท่องเที่ยวไปในที่อันไม่เหมาะควรแก่เพศสมณะ และความไร้มารยาท ไม่มีระเบียบแบบแผนของความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี ที่นำไปสู่การสังคายนาครั้งที่ ๒ ณ พระนครเวสาลี (วาลุการามมหาวิหาร)...
ดังที่เราได้เห็นมีความคิดอ่านบ้าๆ บอๆ ของบรรดาผู้อ้างตนเป็นบริษัทในองค์กรพระพุทธศาสนา ที่พยายามขยายความคิดและพฤติกรรมเข้าครอบคลุมปกปิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะการตั้งองค์กรศาสนาขึ้นมาปกครองศาสนจักร แต่ขาดความเคารพพระธรรมวินัยที่เป็นองค์แทนศาสดา...
ดังนั้น พระธรรมวินัย จึงไม่เสื่อมสูญไปไหนในทุกกาลสมัย ทั้งนี้ด้วยการมีผู้ถือประพฤติปฏิบัติถูกต้องตรงตามธรรม สมควรแก่ธรรม… แต่องค์กรพระศาสนานั้นย่อมเกิด-ดับชำรุดทรุดโทรมไปได้ตามเหตุปัจจัย โดยเฉพาะหากละทิ้ง พระธรรมวินัย ที่เป็นตัวพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
จึงควรแยกให้ออกระหว่างองค์กรหรือสถาบันพระศาสนากับพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมวินัย ว่าเป็นคนละเรื่องกัน อย่าได้นำมาปะปน จนล่วงเกินไปปฏิรูปพระธรรมวินัย เดี๋ยวนรกจะกินกบาลเอา...
เจริญพร


