posttoday

รวบพระอ้างเสกหินเป็นเหล็กไหลเดินสายหลอกชาวบ้าน

28 กรกฎาคม 2558

กองปราบฯจับ พระสงฆ์อายุ 50 ปี อวดอ้างเสกหินเป็นเหล็กไหลได้ เดินสายหลอกชาวบ้าน เจ้าตัวให้การภาคเสธ

กองปราบฯจับ พระสงฆ์อายุ 50 ปี อวดอ้างเสกหินเป็นเหล็กไหลได้ เดินสายหลอกชาวบ้าน เจ้าตัวให้การภาคเสธ

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.เวลา 11.30 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) สั่งการให้  พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ สว.กก.2 บก.ป. ด.ต.เกียรติเฉลิม รักษ์งาม ผบ.หมู่ กก.2 บก.ป. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ป. เจ้าหน้าตำรวจชุดสืบสวน สภ.บรบือ จ.มหาสารคาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพล จ.ขอนแก่น ร่วมกันทำการจับกุมนายวิชิต นามโคตร์ หรือ พระวิชิต วิสุทโธ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104 ต.กุดรัง อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ผู้ต้องหาตามหมายจับ ในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณถนนหน้าวัดบ้านสงเปลือย ต.ยาง อ.บรบือ จ.มหาสารคาม

พ.ต.ท.ต่อศักดิ์  กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านให้ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมของพระวิชิต หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าพระดากี้ อดีตพระลูกวัดวัดป่ากุดรัง จ.มหาสารคาม ซึ่งในภายหลังได้ตั้งตนเป็นเจ้าสำนักวัดสงเปลือย จ.มหาสารคาม และพบว่ามีพฤติกรรมชอบอวดอุตริอ้างว่า มีเวทย์มนต์คาถาและหลอกลวงชาวบ้านในแทบพื้นที่ภาคอีสานว่าสามารถหยิบก้อนหินขึ้นมาเสกให้กลายเป็นเหล็กไหลศักดิ์สิทธิ์ได้ จนมีชาวบ้านหลงเชื่อยอมเสียเงินเช่าซื้อหินเหล็กไหลจากพระวิชิตเพื่อเก็บไว้บูชาตามความเชื่อ ก่อนจะมาทราบอีกทีว่าถูกหลอกในภายหลัง

นอกจากนี้ยังพบว่าพระรูปดังกล่าวมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ขัดกับวินัยสงฆ์ อาทิ มีการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยนำเงินไปซื้อรถยนต์มาขับเป็นรถส่วนตัวถึง3คัน

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจำนวนหลายราย แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้าไปแจ้งความ กระทั่งมีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับทางตำรวจท้องที่ก่อนจะมีการประสานมายังกองบังคับการปราบปรามให้ช่วยตรวจสอบจนแน่ชัดว่ามีการกระทำความผิดตามที่มีผู้ร้องเรียนจริงจึงนำพยานหลักฐานยื่นขออนุญาตศาลฯออกหมายจับ ก่อนจะนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมตัวได้ดังกล่าว

ทั้งนี้ระหว่างที่เข้าไปทำการจับกุมนั้นทางพระวิชิต ได้ยินยอมขอลาสิกขาบทที่วัดบรบือสรารามโดยมีเลขาเจ้าคณะอำเภอเป็นผู้ทำพิธีลาสิกขาบทให้แก่พระวิชิต เพื่อขอออกมาต่อสู้คดีดังกล่าว

จากการสอบสวน นายวิชิต ยังคงให้การภาคเสธ ว่าไม่ได้ทำการหลอกหลวงผู้เสียหายแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่าเคยทำพฤติกรรมดังกล่าวมาตั้งแต่ปี2550 ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นฆราวาสคนปกติทั่วไป ก่อนจะมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี 2552 ซึ่งเงินที่ได้จากการปล่อยเช่าบูชาเครื่องรางคลังที่ได้มาตนก็จะนำไปใช้สอยซื้อของใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ รถยนต์ และสิ่งของมีค่าอื่นๆ

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน" ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพล ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป