posttoday

คนแดนไกลอีกแล้ว

15 สิงหาคม 2559

น่าแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุวางเพลิง - ระเบิด 13 จุดทั่วภาคใต้ ทั้งหน่วยงานข่าวกรอง - หน่วยงานความมั่นคง

โดย...คุณบ๊งเบ๊ง [email protected]

น่าแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุวางเพลิง - ระเบิด 13 จุดทั่วภาคใต้ ทั้งหน่วยงานข่าวกรอง - หน่วยงานความมั่นคง ก็พุ่งเป้าไปที่กลุ่มการเมือง ผู้เสียผลประโยชน์จากผลประชามติทันที

แม้จะยังหาจุดเชื่อมโยงกับ “นักการเมืองใหญ่” หรือผู้ที่รณรงค์โหวตโนก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ท่าทีของทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เลือกที่จะตัดความเป็นไปได้ของการก่อการร้ายจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ขยายผลขึ้นมายังด้ามขวานตอนบนทันที

ทั้งที่ พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับการหน่วยอีโอดี ออกมายอมรับแต่แรกว่า ลักษณะระเบิด คล้ายคลึงกับที่เกิดเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แสดงความคิดเห็นว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็น “กลุ่มใหม่”

ว่ากันตามความเป็นจริง พวก “แดงฮาร์ดคอร์” นั้นถูก คสช.ทั้งจับตา ทั้งเยี่ยมบ้านอยู่บ่อยๆ การจะข้ามพื้นที่ไปป่วนในภาคใต้ ในเวลาเดียวกันนับ 10 จุด จึงเป็นไปได้ยากมาก

รวมถึงลักษณะการก่อเหตุใน “วันสำคัญ” และในพื้นที่สำคัญ ก็แสดงให้เห็นถึงการพยายาม “คุกคาม” กับอุดมการณ์รัฐชาติโดยตรง ประกอบกับก่อนหน้านี้ก็มีความพยายามเตือนจากสถานทูตหลายประเทศให้ระวังเหตุการณ์รุนแรง แต่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ฟัง

ขณะเดียวกัน ย้อนกลับไป 1 ปีที่แล้ว คดีระเบิดห้างบนเกาะสมุยก็ยังคลี่คลายไม่สำเร็จ ขณะเดียวกันเหตุการณ์ระเบิดพระพรหมเอราวัณก็ยังไม่สามารถขยายผลอะไรได้มากกว่าจับกุมชาวต่างชาติเพียง 1 คน ซึ่งก็น่าสนใจมาก เพราะทั้งสองเหตุการณ์ข้างต้น แทบไม่เกี่ยวอะไรเลยกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ

จึงน่าตั้งคำถามต่อรัฐบาลและ คสช.ว่า เพราะเหตุใดจึงพุ่งเป้าไปที่กลุ่มการเมือง ซึ่งไม่พอใจจาก “ผลประชามติ” ซึ่งโหวตเยสชนะขาด เพียงอย่างเดียว

เพราะกลุ่มที่โหวตโน ไม่ได้มีแต่พวก “เสื้อแดง” เพียงอย่างเดียว แต่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเจ้าของพื้นที่ อย่าง นายหัวชวน หลีกภัย ก็คือพวกโหวตโนเช่นเดียวกัน

เอาล่ะ สมมติเป็นฝีมือการบงการของ “คนแดนไกล” เพื่อสร้างความปั่นป่วน-ดิสเครดิตรัฐบาลจริงๆ ก็ต้องถามว่า คนพวกนี้จะได้อะไรจากการวางระเบิดหลายจุดในวันสำคัญ

เพราะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่าไร คสช.ก็ยิ่งมี “ความชอบธรรม” มากขึ้นในการใช้ “ยาแรง” รวมถึงหาก คสช.จะอยู่ต่ออีก ก็ยิ่งมีเหตุผล ในทางกลับกันต่อให้ทำลายความน่าเชื่อถือรัฐบาลมากขนาดไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลประชามติได้อยู่ดี เพราะนั่นคือเสียงที่ประชาชนให้ความเห็นชอบไปแล้ว

การพุ่งเป้าไปที่ประเด็นการเมือง ทั้งที่ยังไม่มีข้อมูลอะไร รวมถึงตัดความน่าจะเป็นบางอย่าง ทั้งที่หลักฐานยังเก็บได้ไม่ครบ จึงอันตรายมาก

เพราะนอกจากจะสุมไฟความขัดแย้ง โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังส่งผลสำคัญต่อ “ความปลอดภัย” ของพลเมือง เพราะหาก “ผู้ร้ายตัวจริง” ยังลอยนวลอยู่ ก็หมายความว่า ประเทศนี้ ยังต้องอยู่กับความเสี่ยง ที่จะเกิดเหตุระเบิดอีกเมื่อไรก็ได้ต่อไปอีกไม่รู้จบ

ข่าวล่าสุด

เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ 2025 รอบรองฯ ไทยดวลอินโดฯ