posttoday

STX เปิดเทรดวันแรก 2.78 บาท ต่ำจอง 7.33%

26 เมษายน 2567

STX เปิดเทรด mai วันแรก 2.78 บาท ลดลง 7.33% จากราคาไอพีโอ 3.00 บาท ชูจุดเด่นฐานทุนแกร่ง-หนี้ต่ำ เดินหน้าขยายเหมืองหินใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 2 แห่ง ที่ จ.ชลบุรี และ จ.เพชรบุรี คาดดเจน 1 แห่งในปีนี้ รับดีมานด์ขาขึ้นตามเมกะโปรเจกต์อินฟราสตรัคเจอร์ของไทย หนุนผลงานโต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน)หรือ STX เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ (26 เม.ย.2567) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยเปิดที่ราคา 2.78 บาท ปรับลดลง 0.22 บาท หรือคิดเป็นลดลง 7.33% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 3.00 บาท 

ล่าสุด ปิดซื้อขายช่วงเช้า เวลา 12.30 น. ปรับลดลง 0.30 บาท หรือคิดเป็นลดลง 10.00% มาอยู่ที่ 2.70 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 244.04 ล้านบาท

STX เปิดเทรดวันแรก 2.78 บาท ต่ำจอง 7.33%

ทั้งนี้ STX ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง และแร่โดโลไมต์ 

STX เสนอราคาขาย IPO ที่ 3.00 บาท/หุ้น จำนวนไม่เกิน 65,000,000 หุ้น คิดเป็น 21.16% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการหลังจากการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละปี และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้

1.เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการซื้อเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงานรวมถึงการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

2.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ

ทางด้านผลการดำเนินงานในปี 2564-2566 บริษัทมีรายได้รวม อยู่ที่ 360.75 ล้านบาท 279.55 ล้านบาท และ 371.29 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 18.50ล้านบาท 21.56 ล้านบาท และ 38.04 ล้านบาท ตามลำดับ

นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการซื้อเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงาน รวมถึงการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต

บริษัทวางเป้าหมายมุ่งสู่การขยายแหล่งวัตถุดิบและการผลิตในอนาคต ต่อยอดธุรกิจหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย 

โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจเหมืองหินที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว หรือการพัฒนาเหมืองหินใหม่ ซึ่งอยู่ในที่ตั้งที่เหมาะสม พร้อมด้วยเจตนารมณ์การทำเหมืองอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากปัจจุบันบริษัทมีเหมืองหินอยู่จำนวน 2 แห่ง ที่เหมืองหนองข่าอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และ เหมืองจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี

สำหรับโครงการในอนาคต บริษัทได้จัดทำแผนธุรกิจเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนขยายธุรกิจในโครงการเหมืองหินแหล่งใหม่ 2 แหล่ง เพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับบริษัท โดยมีโครงการหาแหล่งปริมาณสำรองเหมืองใหม่ที่จังหวัดชลบุรี จากการสำรวจในเบื้องต้นมีปริมาณสำรองสำหรับหินอุตสาหกรรมชนิดหินแกรนิตเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง จำนวนประมาณ 32 ล้านตัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและต่อรองกับผู้ขายอย่างต่อเนื่อง 

และเหมืองหินแหล่งที่ 2 ตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี จากการสำรวจในเบื้องต้น (ณ เดือน ก.พ.2567) มีปริมาณสำรองสำหรับหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง จำนวนประมาณ 19 ล้านตัน

โดย STX นับเป็นผู้ประกอบธุรกิจเหมืองหินที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญในการวางระบบบริหารจัดการด้านชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความเชื่อมั่นจากการได้รับรางวัลมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 และรางวัล Green Industry อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีการติดตามประเมินผล และทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนถือเป็นจุดแข็งในการเข้าไปขยายเหมืองหินใหม่ที่มีศักยภาพ

ทั้งนี้ เหมืองใหม่ที่บริษัทวางแผนจะเข้าซื้อแต่ละเหมืองคาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% นอกจากนี้ แผนการขยายตลาดในผลิตภัณฑ์จากแร่โดโลไมต์ จะสนับสนุนให้รายได้รวมเติบโตขึ้น ขณะที่แร่โดโลไมต์มีอัตรากำไรเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์หิน 

“เชื่อว่าหลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะสนับสนุนฐานทุนบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ” นายทรงวุธ กล่าว 

ขณะเดียวกัน การเติบโตของบริษัทสอดคล้องไปกับการพัฒนาประเทศตามแผนนโยบายของรัฐบาล ที่ส่งเสริมเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) รวมทั้งโครงการ Landbridge  

โดยโครงการ EEC มีการประเมินความต้องการใช้หินประมาณ 100 ล้านตัน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตหินให้ EEC เพียง 10 ล้านตันต่อปี 

ล่าสุด บริษัทได้รับงานหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง ใช้สำหรับงานถมทะเล ในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญในการพัฒนา EEC ที่รัฐบาลต้องการเร่งพัฒนาให้เสร็จโดยเร็ว

โดยเป็นออเดอร์หินไซส์ใหญ่ จำนวน 500,000 ตัน มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท เข้ามาสนับสนุนงานในมือ (Backlog) ทยอยรับรู้รายได้ประมาณกว่า 1 ปี อีกทั้ง สนับสนุนยอดขายในช่วงไตรมาส 2/2567 ให้เติบโตขึ้น จากปกติในไตรมาส 2 เป็น Low Season ของอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงฤดูฝน และออเดอร์ใหม่ๆ ยังจ่อคิวรออยู่อึกจำนวนมาก

“ความต้องการใช้หินมีแต่เพิ่มมากขึ้น จากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ทำให้โครงการเดิมที่รองบประมาณ และโครงการใหม่เดินหน้าต่อได้ รวมถึงราคาหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สนับสนุนผลประกอบการ คาดรายได้เติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ระดับ 10%“ นายทรงวุธ กล่าว

ด้านนายพงศ์ภัค สุทธิพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีจุดเด่นหินเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยโครงการเหมืองของบริษัทอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการลงทุนต่อเนื่อง เงินระดมทุนครั้งนี้ ใช้ลงทุนในธุรกิจเหมืองหินและแร่ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานที่อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น

อีกทั้ง STX มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง มากว่า 27 ปี มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ มีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำเพียง 0.18 เท่า และมีส่วนของทุนสูงถึงกว่า 600 ล้านบาท จึงมีศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนให้ STX ยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล และสามารถสร้าง New S-Curve ทางธุรกิจได้