โรงแรมชูปลอดบุหรี่

แมนดารินประกาศจุดยืนโรงแรมปลอดบุหรี่ เริ่ม 31 พ.ค. หวังเจาะกลุ่มลูกค้ารักสุขภาพ

นายอาทิตย์ ไวทยะพัธน์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแมนดาริน เปิดเผยว่า เตรียมประกาศตัวให้โรงแรมแมนดารินเป็นโรงแรมปลอดบุหรี่ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันงดสูบบุหรี่โลก มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดลูกค้าที่มาใช้บริการที่โรงแรมและน่าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนรักสุขภาพได้มากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มองค์กรด้านสาธารณสุขก็น่าจะสนใจมาจัดประชุมสัมมนาที่โรงแรมมากขึ้นด้วย ตั้งเป้าอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีนี้ไว้ที่ 83%

ทั้งนี้ ได้เดินสายแจ้งข้อมูลตัวแทนจำหน่ายท่องเที่ยวต่างๆ ไว้ล่วงหน้า 6 เดือนแล้ว ก่อนที่จะเริ่มเป็นโรงแรมปลอดบุหรี่อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ตัวแทนจำหน่ายปรับตัวทันจะได้นำข้อมูลนี้แจ้งนักท่องเที่ยวก่อนเลือกโรงแรม ยอมรับว่าอาจจะเสียกลุ่มที่สูบบุหรี่ไปบ้าง แต่จากข้อมูลพบว่าจำนวนคนสูบบุหรี่ในโลกนั้นลดลงเพราะคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

ดังนั้นการเป็นโรงแรมปลอดบุหรี่จึงไม่ใช่ปัจจัยสร้างผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจ และแม้เสียกลุ่มคนสูบบุหรี่ไป ก็จะได้กลุ่มคนรักสุขภาพที่มีจำนวนมากกว่าเข้ามาทดแทน โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมาก

“ที่ผ่านมามีบางโรงแรมในไทยที่มีห้องพักที่ไม่สูบบุหรี่ได้แล้ว แต่ไม่ได้โปรโมท เพราะกลัวเสียลูกค้ากลุ่มที่สูบบุหรี่ไป แต่โรงแรมแมนดารินตั้งใจโปรโมท เพราะต้องการรองรับตลาดที่ดูแลสุขภาพ ในอดีตเคยมีห้องพักที่สูบบุหรี่ได้ 150 ห้อง จากทั้งหมด 375 ห้อง ปีที่ผ่านมาลดเหลือ 70-80 ห้อง ก็ไม่มีปัญหาจำนวนห้องพักสำหรับสูบบุหรี่ไม่พอกับความต้องการ และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาพักกับโรงแรมเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สูบบุหรี่มากเหมือนคนรุ่นก่อน อย่างไรก็ตามโรงแรมก็จัดทำสถานที่สูบบุหรี่ไว้ภายนอกโรงแรม 2 จุด ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” นายอาทิตย์ กล่าว

ขณะเดียวกันมีแผนว่าหลังจากนี้จะเดินหน้าลงทุนปรับปรุงโรงแรม เพื่อให้ได้มาตรฐานเป็นโรงแรมใบไม้เขียว ที่ให้ความสำคัญเรื่องรักสิ่งแวดล้อม โดยยอมรับว่าคงจะทำให้โรงแรมมีต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านบาท เช่น ต้องเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีต้นทุนในการคัดแยกขยะ เป็นต้น แต่มองว่าเป็นผลดีต่อโรงแรมในอนาคตอันใกล้ เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญมากขึ้นที่นักท่องเที่ยวใช้พิจารณาเลือกโรงแรม

ด้านภาพรวมโรงแรมแมนดารินมีนักท่องเที่ยวจีนใช้บริการมากที่สุด เหมือนกับโรงแรมอื่นๆ ซึ่งก็เป็นผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเติบโตสูงมาก โดยกระจายไปพักโรงแรมต่างๆ จนมีสัดส่วนสูงเหมือนๆ กัน ส่วนอันดับ 2 เป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น อันดับ 3 เป็นคนไทยหรือเกาหลีใต้

ขณะที่อัตราเข้าพักเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมามีกว่า 90% ส่วนเดือน มี.ค.-เม.ย. อยู่ที่กว่า 80% โดยช่วงไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (โลว์ซีซั่น) ปกติโรงแรมจะทำอัตราการเข้าพัก 70-80% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโรงแรมในย่านเดียวกัน คือ สีลม สาทร สุรวงศ์ ที่ทำได้ 60-70%