"กยท." เร่งประมูลขายยางในสต็อกรัฐ 3.1 แสนตัน
การยางแห่งประเทศไทยเร่งประมูลขายยางในสต็อกรัฐ 3.1 แสนตัน หมดภายในเดือน มี.ค. ชี้ราคาต้องไม่ต่ำกว่า 64 บาทต่อก.ก.
การยางแห่งประเทศไทยเร่งประมูลขายยางในสต็อกรัฐ 3.1 แสนตัน หมดภายในเดือน มี.ค. ชี้ราคาต้องไม่ต่ำกว่า 64 บาทต่อก.ก.
นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.)เปิดเผยว่าความคืบหน้าการประมูลขายยางพาราในสต็อกรัฐ จำนวน 3.1 แสนตัน จาก2 โครงการแทรกแซงราคายาง ในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ซื้อในราคา 104 บาทต่อกก.จำนวน 2.1 แสนตัน และในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโครงการมูลภัณฑ์กันชน อีก 1 แสนกว่าตัน ซึ่งขณะนี้กยท.ได้เปิดประมูลขายไปแล้วกว่า 9 หมื่นตัน เฉลี่ยราคาขายกิโลกกรัม 68 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยางในโกดังภาคใต้
ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถประมูลขายให้หมดภายในเดือนมี.ค.นี้ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.) ได้มีมติไว้ ว่าต้องเคลียร์ยางในสต๊อกหมดก่อนเดือน พ.ค. เพื่อรับฤดูเปิดกรีดรอบใหม่ สำหรับการประมูล จะเป็นการขายตลาดสภาพของยาง แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 64 บาทต่อกก. ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้เปิดกรีดยางไม่ได้ ทำให้ราคายางขยับขึ้นต่อเนื่องล่าสุดราคายาง 80 บาทต่อกก.แล้ว
ผู้ว่าฯกยท.กล่าวอีกว่ายังได้หารือกับบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ หรือ IRCO เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาค RRM ให้เป็นตลาดมาตรฐานระดับภูมิภาคอาเซียน สามารถซื้อขายและส่งมอบจริงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายยางที่เป็นสมาชิกในตลาดกลางยางพาราระดับภูมิภาค ที่ผ่านมา สินค้าในตลาดนี้จะเป็นยางแท่งมาตรฐาน STR 20 และยางแผ่นรมควัน ชั้น 3 มาตรฐานกรีนบุ๊ค RSS 3 เท่านั้น แต่เพื่อให้มีการขับเคลื่อนตลาด RRM จึงมองเห็นว่า น้ำยางข้น เป็นผลผลิตที่เป็นที่นิยมในภูมิภาคนี้ ซึ่งในแต่ละปีประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางข้นหลักของโลก รองลงมาจากยางแผ่นรมควัน และยางแท่ง ล่าสุด ในปี 2016 ประเทศไทยส่งออกน้ำยางข้นประมาณ 559.6 พันตัน ในขณะที่มาเลเซีย 22.1 พันตัน และอินโดนีเซีย 4.2 พันตัน เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการซื้อขายน้ำยางข้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายย่อย และอุตสาหกรรมน้ำยางพาราของประเทศสมาชิก