ย้ำ'เชฟรอน'ต้องจ่ายภาษี

พลังงานหวังคลังเร่งเคลียร์ปัญหาภาษีน้ำมันเชฟรอน ก่อนส่ง ครม. เคาะย้ำเชฟรอนต้องจ่ายภาษีไม่มียกเว้น

นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า ทางบริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย) ได้ติดต่อหารือกรณีปัญหาภาษีอากรสำหรับการส่งน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันไปใช้ในเขตพื้นที่สัมปทานปิโตรเลียม ที่ยังมีการตีความทางกฎหมายที่ต่างกัน ส่งผลให้เชฟรอนไม่กล้าส่งน้ำมันไปยังแท่นขุดเจาะกลางอ่าวไทย โดยจะประสานเรื่องนี้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขไม่ให้กระทบกับการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย

ทั้งนี้ ตามมาตรา 70 แห่ง พ.ร.บ. ปิโตรเลียม 2514 ระบุว่า การใช้น้ำมันดีเซลบนแท่นขุดเจาะไม่ได้สิทธิยกเว้น ภาษีแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นการค้าภายในประเทศ แต่ต่อมากรมศุลกากรได้ตีความกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสากลในเรื่องของการยึดอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล ซึ่งตีความว่าอยู่นอกอาณาเขตตาม พ.ร.บ. ศุลกากร 2469 และให้บริษัทปฏิบัติพิธีการศุลกากรส่งออก จึงได้รับยกเว้นหรือ คืนภาษีสรรพสามิต และไม่ต้องส่งเงิน เข้ากองทุนน้ำมันฯ การตีความต่างกันทำให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้หารือ กับกรมศุลกากรเพื่อให้การปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และได้ข้อสรุปว่าต้อง จ่ายภาษี เพราะ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ระบุไว้ชัดแล้ว

"การยกเว้นภาษีเมื่อปี 2554 นั้น ทำให้เชฟรอนไปขอคืนภาษีประมาณ 3,000 ล้านบาท เรื่องคลังจะต้องไปเคลียร์กันเอง ทางกรมเชื้อเพลิงฯ และกรมศุลกากรได้ตกลงแล้วในทางปฏิบัติว่าการใช้น้ำมันดีเซลบนแท่นขุดเจาะ ต้องเสียภาษี และเรื่องนี้กรมศุลกากรคงจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เป็นมติทางกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันเชฟรอนสำรวจและผลิตใช้ดีเซลเฉลี่ย วันละ 7 แสนลิตร โดยซื้อจากโรงกลั่นสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟเนอร์รี่ (เอสพีอาร์ซี)" นายวีระศักดิ์ กล่าว
 
ด้าน นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า เชฟรอนได้มาหารือถึงกรณีต้องนำน้ำมันดีเซลไปใช้บนแท่นขุดเจาะซึ่งเป็นดีเซล 100% จะต้องสำรองน้ำมันตามกฎหมายหรือไม่ เพราะมีปัญหาเรื่องการตีความทางกฎหมายว่าเป็นการใช้ภายในราชอาณาจักรหรือ นอกราชอาณาจักร ซึ่งกรณีดังกล่าวได้ยืนยันไปว่าถือเป็นการค้าภายในประเทศ ต้องสำรองตามกฎหมายด้วย ซึ่งปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้สำรองน้ำมันสำเร็จ รูปเพียง 1% เท่านั้นซึ่งถือว่าไม่ได้มาก

นายบุญญฤทธิ์ ศรีอ่อนคง ผู้จัดการฝ่ายองค์กรและรัฐสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอน (ประเทศไทย ) กล่าวว่า บริษัทพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว ขณะนี้ให้ฝ่ายกฎหมายดูแลอยู่ โดยต้องการให้มีความชัดเจนในเรื่องนี้เพราะการตีความไม่เหมือนกัน ที่ผ่านมาบริษัทก็ทำตามกฎหมาย ส่วนการดำเนินการต่างๆ คงจะหยุดไม่ได้แต่ก็ขอให้รัฐมีความชัดเจนโดยเร็วที่สุด