posttoday

ไทยสูญตลาดอาเซียน6หมื่นล.

25 พฤศจิกายน 2558

หอการค้าไทย คาด 6 ปี ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดอาเซียนเก่ากว่า 6.71 หมื่นล้าน

หอการค้าไทย คาด 6 ปี ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดอาเซียนเก่ากว่า 6.71 หมื่นล้าน

นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ผลการประเมินภาคการผลิตไทย ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาภายใต้เออีซี ว่า ตั้งแต่ปี 2553-ก.ย. 2558 ประเทศไทยเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดอาเซียนเก่าไปแล้ว 0.2% หากนับเฉพาะ 19 รายการสินค้าส่งออกที่สำคัญ จะพบว่าไทยสูญเสียตลาดไปมากถึง 6.71 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่เสียให้กับสิงคโปร์ และยานยนต์ที่เสียให้กับอินโดนีเซีย

ปัจจุบันประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาดในตลาดอาเซียนเก่าเป็นอันดับที่ 7 จากทั้งหมด 10 ประเทศ โดยพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มี ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด รองลงมาคือ มาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และบรูไน

ขณะที่ภาพรวมการส่งออกของไทยในตลาดอาเซียนใหม่ (ซีแอลเอ็มวี) พบว่าไทยยังมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 3.9% แต่เป็นการเพิ่มขึ้นแบบชะลอตัว โดยเมื่อเทียบ กับปี 2557 ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในซีแอลเอ็มวี 44.1% คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.3% แต่พอมาปีนี้ส่วนแบ่งตลาดไทยในซีแอลเอ็มวีอยู่ที่ 44.7% คิดเป็นมูลค่า 1.61 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพียง 0.6%
 
"แม้ว่าตอนนี้ตลาดอาเซียนใหม่ไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ แต่ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดซีแอลเอ็มวีจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป เพราะประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนเก่าที่มีศักยภาพอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะเริ่มพัฒนาสินค้าออกมาขายแข่งกับไทย หรือไม่ก็จะเข้าไปลงทุนผลิตสินค้าในซีแอลเอ็มวีเพื่อป้อนตลาดซีแอลเอ็มวีเลย ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของไทยในซีแอลเอ็มวีลดลงได้อีก" นายอัทธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สถานะของอุตสาหกรรมไทยในตลาดอาเซียนเก่า พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังทำเงินได้ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ยางธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารและข้าวสาร โดยไทยจะต้องพยายามรักษาตลาดกลุ่มนี้ไว้และผลักดัน ให้เกิดการเติบโตมากขึ้น ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มตกต่ำ ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก ผลิตภัณฑ์ไม้ อโลหะ เครื่องแต่งกาย สิ่งทอ ผลไม้ พลาสติก และมันสำปะหลัง ซึ่งทางออกของกลุ่มมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ เร่งเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน หรือถอนตัวออกจากตลาดหรือขายทิ้ง

ขณะที่อุตสาหกรรมไทยในตลาดอาเซียนใหม่ ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่ทำเงินได้อยู่ เพราะยังอยู่ในระยะเริ่มโตและระยะขยายตัว มีเพียง 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่อยู่ในสถานะที่มีแนวโน้มตกต่ำ คือ อุตสาหกรรมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง และน้ำมันปาล์ม

นายอัทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากนี้ไปไทยจะต้องเริ่มหันมามองแล้วว่าจะขายแต่สินค้าสำเร็จรูป (Final Product) เข้าไปยังตลาดอาเซียนใหม่อย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะการขยายตัวของตลาดนี้ ยังโตไม่ทันและกำลังซื้อยังไม่สูง แต่ควรจะขายสินค้าเข้าไปเพื่อ เติมเต็มห่วงโซ่อุปทานอาเซียน ให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันไทย ส่งเข้าไปในห่วงโซ่อุปทานเพียง 5.7% เท่านั้น หากสามารถดันได้ถึง 15-20% ก็จะช่วยทำให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยในอาเซียนโดยรวมโตขึ้นอีกมาก