posttoday

วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

07 กันยายน 2560

ในการเปิดตลาดสินค้าของทีมงานผม เรามักจะเน้นที่ช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นหลัก

โดย กริช อึ้งวิทูรสถิตย์

ในการเปิดตลาดสินค้าของทีมงานผม เรามักจะเน้นที่ช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นหลัก ดังนั้นเราจึงต้องเน้นในเรื่องการกระจายสินค้าเข้าร้านค้าและให้ความรู้กับเซลส์โดยให้เขาเข้าไปทุกช่องทาง และตัวเราเองก็มักจะต้องเดินทางไปเยี่ยมเยือนลูกค้าที่อยู่ตามต่างจังหวัดทั่วประเทศอยู่เสมอ

ในยุคนั้นการคมนาคมถนนหนทางไม่ได้เหมือนปัจจุบันนี้ ถนนหนทางที่เดินทางไปค่อนข้างจะทุลักทุเลเอามากๆ ทางทีมงานของบริษัทเราก็จะมีคุณมงคลกับผม และในส่วนของบริษัท กระทิงแดง จะมีคุณชนะชัย คุณบีเวอร์ สองพี่น้องตระกูลเอียสกุล และคุณศรีเวียง ซึ่งเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องของคุณชนะชัย และเคยเดินทางไปเรียนหนังสือที่ไต้หวันปีเดียวกับผม ร่วมเดินทางไปตรวจตลาดกันเป็นประจำ โดยคณะเรามักจะใช้รถตู้ในการเดินทาง โดยมีคนขับประจำตำแหน่งที่อยู่กับเรามานานมาก ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ๆ คือจุกบุ๋ง เขาเป็นคนเวียดนามเชื้อสายจีนกวางตุ้ง พอพูดกวางตุ้งได้เล็กน้อย ไม่ว่าจะไปที่ไหนในประเทศเวียดนาม เขาจะรู้ทางเสียหมด

เราร่วมเดินทางไปแทบจะทุกจังหวัดของเวียดนามเลยครับ ทางตอนใต้ ที่เป็นเขตแม่โขงดาต้า ซึ่งก็จะมีความสวยงามด้วยแม่น้ำหลากหลายสาย เพราะ ก่อนที่แม่น้ำโขงจะไหลลงสู่ทะเลที่เวียดนาม แม่น้ำโขงได้แตกแยกออกเป็นแม่น้ำ อีกหลายสาย การเดินทางในยุคนั้นยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำเหมือนปัจจุบัน เราต้องอาศัยเรือขนานยนต์เป็นแพข้ามแม่น้ำ เวลาที่จะข้ามทีต้องเข้าแถวรอยากลำบากพอควรครับ แต่ก็เป็นอีกรสชาติหนึ่งในชีวิต กว่าจะตรวจตลาดหมดก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ที่มีสะพานข้ามเกือบหมดแล้ว สะดวกสบายมากๆ และที่ประทับใจในวิถีชีวิตของคนเวียดนามคือที่คั่นเทอและหมีทอ เมืองในอดีตยังเป็นเมืองเล็กๆ ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านเหมือนปัจจุบันนี้ครับ

อีกทั้งเรายังเห็นวิถีชีวิตที่ชาวบ้านนำเอาสินค้ามาขายกันแบบเรียบๆ ง่ายๆ ครับ มีทั้งมาทางเรือขนสินค้ามาขายกัน เรียกว่าเป็นตลาดน้ำที่ธรรมชาติ จริงๆ ไม่ได้เสริมแต่งเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกันเหมือนที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ผมไปดูตลาดอีกครั้ง ปรากฏว่าภาพเดิมๆ ได้หายไป แทบจะไม่หลงเหลือให้เห็นเลย เป็นที่น่าเสียดายจริงๆ ครับ

ในการเดินทาง เรายังเน้นการตรวจเยี่ยมเยือนลูกค้าในทุกๆ จังหวัดอย่างสม่ำเสมอ แม้แต่ทางเหนือยี่สิบสี่จังหวัด เราก็จะให้จุกบุ๋งขับรถให้ เขาจะเก่งและแข็งมาก ขับรถสี่ห้าวันไม่เคยให้เราเปลี่ยนมือเลย ระยะทางสองพันกว่ากิโลเมตร เรียกว่าหฤโหดมากๆ ครับ ทางที่ผมประทับใจมากที่สุดคือช่วงภาคกลาง อยู่ระหว่างจังหวัดเว้กับจังหวัดดานัง จะมีทิวทัศน์ที่สวยมาก เวลาไต่เขาไปถึง จุดระหว่างกลางของเส้นแบ่งเขตแดนเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ หรือที่เรียกว่า เขตเส้นขนานที่ 17 สวยงามและมีประวัติศาสตร์สมัยสงครามเวียดนามให้เราได้ชื่นชม เรามักจะแวะพักรถกันที่นี่เสมอครับ ซึ่งเราจะเห็นรถบัสโดยสารของ นักเดินทางที่เป็นคนท้องถิ่น มีจำนวนไม่น้อยก็มักจะจอดพักเช่นกัน พอคนพักเยอะ ห้องน้ำก็มักจะไม่เพียงพอให้นักเดินทาง เราจึงเห็นคนท้องถิ่นมักจะ แสดงความมีวัฒนธรรมอันเก่าแก่ยาวนานให้เราเห็นเป็นประจำครับ นั่นคือผู้ชายก็จะยืนฉี่ ผู้หญิงก็จะนั่งฉี่ข้างทางไงครับ โล่งโจ้งกันเลย

ในแต่ละเมืองที่ไปมานั้นล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอาหารการกิน สำเนียงการพูดคุย พออยู่ไปนานๆ ก็พอจะฟัง ออกครับว่า อันนี้เป็นสำเนียงใต้หรือสำเนียงเหนือ ก็สนุกดีครับ อาหารก็เช่นกันครับ ถ้าเป็นทางแถบภาคเหนือ เราจะเห็นเขาขายอาหารที่นำเอาเนื้อสุนัขมา ปรุงตามร้านอาหาร โดยการเขียนป้ายบอก "Thet Cho" ให้เราเห็นเด่นชัดหน้าร้าน เลยครับ แรกๆ เราก็จะไม่คุ้นเคยก็มักจะเลือกไม่เข้าร้านที่มีป้าย เพราะเห็นแล้ว เกิดอาการเช่นกัน แต่พอหลังๆมาไม่มีทางเลือก เพราะที่ต่างจังหวัดหรือ เมืองเล็กๆ ของทางเหนือ ก็มีเนื้อสุนัขขายหมดเกือบทุกร้านครับ คุณมงคลเลยบอกเอานะ ลองขอทางร้านดูว่าเราขอล้างครัวให้เขา แล้วเราทำอาหารเอง แล้วกัน พอทางร้านอนุญาต คุณมงคลก็ลงมือเผากระทะ ขูดเขียง ล้างถ้วยจาน ชามเอง เอาเสียสะอาดเอี่ยมอ่อง แล้วจึงลงมือผัดข้าวให้ทานกันทั้งคณะทุกครั้ง ไปครับ ไม่เช่นนั้นเราคงมีกลิ่นสาบติดตัวมาแน่ๆ เลยครับ หลายท่านคงมีคำถามว่าไม่กลัวเขาหลงเอามาปรุงให้เราทานเหรอ บอกได้เลยว่าไม่มีทางครับ เพราะเนื้อสุนัขแพงกว่าเนื้อหมู เนื้อวัว อีกครับ