posttoday

ดัน'ฮับ'ขนส่งอาเซียน โยงคมนาคม-ขยายการค้า

19 ตุลาคม 2559

จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่เป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล

จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่เป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และไทยก็มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งภูมิภาค เป็นเกตเวย์สู่ภูมิภาค รวมทั้งเป็นประตูออกสู่การขนส่งสินค้าจากภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) สู่ตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาการส่งออกของไทยในเวทีโลกหดตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจ แต่มูลค่าการค้าชายแดนของไทยกับเพื่อนบ้านกลับมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลก็มองเห็นถึงความสำคัญของการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนที่จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนหนทาง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทางบกในภูมิภาคเข้าด้วยกัน

ชุมพล สายเชื้อ รองนายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย กล่าวว่า การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งทางบกเข้าด้วยกันหากทำได้จริง จะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็น “ฮับ” ได้อย่างแท้จริง และเมื่อการลงทุนเห็นผลก็จะยิ่งเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เพราะมองแล้วจะทำให้ไทยมีเสน่ห์ และเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียน

แต่ถ้าไม่มีการลงทุนเพื่อเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน เสน่ห์นั้นอาจย้ายไปอยู่ที่เมียนมาแทนได้

“การที่ไทยเป็นฝ่ายลงทุนสร้างถนนเชื่อมเส้นทางคมนาคมขนส่งระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านให้นั้น ยังประโยชน์ต่อประเทศไทยเองด้วย เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ เศรษฐกิจกำลังเริ่มโตเมื่อเพื่อนบ้านที่เป็นทั้งตลาดและลูกค้าเราโต ก็ย่อมทำให้การขนส่งและโลจิสติกส์ไทยโตตามไปด้วยแน่นอน” ชุมพล กล่าว

สำหรับการแข่งขันหลังเปิดเสรีอาเซียนนั้น ชุมพล ย้ำว่าไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับไทย เพราะเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์ไทยมีศักยภาพและประสิทธิภาพพอที่จะแข่งขันได้ ขอเพียงแค่ให้มีการค้านำไปก่อน เพราะเมื่อไหร่ที่มีการค้าขายระหว่างกัน รถขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ก็จะตามเข้าไป

อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวจะต้องรอให้มีการค้า (เทรดดิ้ง) นำเข้าไปก่อน เพราะใช่ว่ามีรถบรรทุกแล้วจะวิ่งเข้าไปรับงานในประเทศเพื่อนบ้านได้ทันทีทันใด ด้วยต้องยอมรับว่าเพื่อนบ้านของไทยอย่างกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาและเวียดนามก็ยังกลัวว่า หากเปิดให้รถบรรทุกขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์จากไทยเข้าไปได้เสรี อาจจะไปแย่งรับงานหมด เนื่องจากต้นทุนของรถบรรทุกขนส่งไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 บาท/ตัน/กม. ขณะที่ต้นทุนของเพื่อนบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 4 บาท/ตัน/กม.

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นผู้ประกอบการรถบรรทุกขนส่งและโลจิสติกส์ไทยได้เจรจากับเพื่อนบ้านว่า หากมีงานให้ใช้รถบรรทุกของประเทศนั้นๆ วิ่งก่อน ถ้าไม่พอจึงจะขอใช้รถบรรทุกของไทยวิ่ง หรืออาจจะเป็นการวิ่งเข้าไปรับงานตามลูกค้าเดิมที่ขยายการลงทุนออกไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้สามารถเจรจากับ สปป.ลาวได้แล้ว โดยเหลือกัมพูชา เมียนมาและเวียดนามที่
ยังเจรจากันอยู่

ขณะที่ผู้ประกอบการรถบรรทุกขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ของไทยเอง ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเข้ามาของผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์จากจีนและมาเลเซีย โดยเฉพาะจีนที่ตอนนี้จะยังจ้างผู้ประกอบการไทยในการขนส่งสินค้าให้อยู่ แต่เวลาที่จีนเข้ามาลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะเข้ามาตั้งแต่ต้น-ปลายน้ำ ทำให้เกิดภาพของการกินรวบทางธุรกิจของจีนในประเทศและกลุ่มธุรกิจที่จีนเข้าไปลงทุน

สำหรับมาเลเซียเองก็มีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเรื่องกฎระเบียบทางศุลกากรที่มาเลเซียถือแต้มเหนือกว่า ทำให้รถบรรทุกขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ของมาเลเซียสามารถวิ่งเข้ามายังประเทศไทยได้ และกำลังขอที่จะให้รถขนส่งสินค้าจากมาเลเซียสามารถวิ่งเข้ามาได้ถึงแหลมฉบัง ขณะที่รถไทยยังไม่สามารถวิ่งข้ามแดนเข้าไปยังฝั่งมาเลเซียได้เลย

ชุมพล เสริมว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี ทำให้ภาพรวมธุรกิจรถบรรทุกขนส่งสินค้าชะลอตัวลง ประกอบกับการที่มีผู้ประกอบการด้านธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์รายใหญ่จากเพื่อนบ้านเข้ามาแข่งขันในตลาดด้วย ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์รายเล็กๆ ของไทยอาจทนแบกรับภาระไม่ไหว แต่ขณะเดียวกันก็เกิดการปรับตัวรองรับการขนส่งสินค้าในกลุ่มอี-คอมเมิร์ซที่กำลังโต

จึงทำให้เชื่อมั่นว่าธุรกิจรถบรรทุกขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์จะไม่มีวันตาย