บีเอ็มฯ ซีรี่ส์ 5 ใหม่ โดดเด่นไฉไลไฮเทค

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

สัปดาห์นี้พาคุณผู้อ่านทุกท่านไปร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับของรถยนต์จากค่ายใบพัดสีฟ้า หรือบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ถือเป็นรถยนต์นวัตกรรมล่าสุดด้วยการเปิดตัวไปในช่วงต้นปีนี้

บีเอ็มฯ ซีรี่ส์ 5 โฉมใหม่ คันนี้ ถือได้ว่ามาพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย พร้อมการออกแบบภายใต้แนวคิด BMW EfficientLightweight ใช้วัสดุอะลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่มีความทนทานสูงแต่น้ำหนักเบา จึงมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนถึง 100 กิโลกรัม ซึ่งนอกจากน้ำหนักที่เบากว่ารุ่นก่อนแล้ว ตัวถังใหม่ยังมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ กระจายน้ำหนักอย่างสมดุล และมีแรงเสียดทานอากาศต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน

ทีมวิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูทำงานอย่างหนักเพื่อลดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 โฉมใหม่ลง 10% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ที่ 0.22 เท่านั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์ซีดานในระดับพรีเมียม

มิติตัวรถมีขนาดใหญ่ขึ้น ความยาวฐานล้อ 2,975 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 7 มิลลิเมตร) ประกอบกับความกว้างฐานล้อหน้า 1,605 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร) และความกว้างฐานล้อหลัง 1,630 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 3 มิลลิเมตร)

โพสต์ทูเดย์มีโอกาสลองขับบีเอ็มฯ ซีรี่ส์ 5 ใหม่ ทั้งในรุ่น 530i M Sport และ 520d Luxury ซึ่งมีบุคลิกเฉพาะรุ่น แต่ที่จะกล่าวถึงในวันนี้คือ รุ่น 530i M Sport ซึ่งเป็นรุ่นท็อปไลน์ของซีรี่ส์ 5 และเทคโนโลยีเต็มสูบ อาทิ ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) ที่จะทำให้การจอดรถง่ายดายขึ้นด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถในรูปแบบแนวขนานหรือการจอดแบบเข้าซอง ทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นพิเศษเพิ่มเติม โดยในรุ่นนี้ระบบสามารถทำการจอดรถได้ในพื้นที่จอดที่มีความยาวกว่าตัวรถเพียง 80 เซนติเมตร

ระบบอัลตร้าโซนิคเซ็นเซอร์ (Ultrasonic Sensors) สามารถช่วยค้นหาพื้นที่จอดที่เหมาะสมได้ในขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยเมื่อพบจุดจอดแล้วระบบจะทำการจอดรถเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเกียร์ หมุนพวงมาลัย ตลอดจนผ่อนคันเร่งหรือเบรกโดยอัตโนมัติ และในกรณีที่พื้นที่จอดรถทำมุมกับถนน ระบบจะต้องการพื้นที่ว่างด้านข้างตัวรถเพียงข้างละ 40 เซนติเมตรเท่านั้นในการทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งใช้งานได้สะดวกจริง

รวมถึงระบบ Gesture Control ซึ่งเป็นฟีเจอร์ควบคุมฟังก์ชั่นหลักด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวของมือ ได้เปิดตัวออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เมื่อปีที่ผ่านมา และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 โฉมใหม่ก็มาพร้อมกับรุ่นล่าสุดของระบบดังกล่าว พร้อมกับหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ที่แสดงผลได้ทั้งข้อมูลระบบนำทาง โทรศัพท์ เพลง หรือเมนูฟังก์ชั่นต่างๆ ของตัวรถ นอกจากจะสั่งการได้ผ่านทางปุ่ม iDrive Controller แล้ว ระบบควบคุมนี้ยังรองรับการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ เสียง หรือการสัมผัสปุ่มบนหน้าจอ

สำหรับระบบ Gesture Control นั้น นำเสนอการใช้งานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและสะดวกสบายในทุกฟังก์ชั่น ทั้งระบบ Infotainment และโทรศัพท์ ผ่านการขยับมือหรือนิ้วมือ ซึ่งจะถูกตรวจจับโดยระบบเซ็นเซอร์ 3D บริเวณคอนโซลและแปลเป็นคำสั่งต่างๆ ตามการเคลื่อนไหว เช่น สามารถรับโทรศัพท์ได้ด้วยการชี้นิ้วชี้ไปที่หน้าจอ หรือสามารถปัดมือเพื่อปฏิเสธสายเรียกเข้า

สำหรับเครื่องยนต์มาพร้อมด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบรุ่นใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งมาแทนเครื่องยนต์เบนซินเดิมที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู 528i ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 17.5 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ที่ 129 กรัม/กิโลเมตร ลดลงจากรุ่นก่อน 11%

และที่เป็นอีกทีเด็ดหนึ่งคือ กุญแจ Display Key ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การสั่งการทำงานของระบบปรับอากาศในรถ นอกจากนี้ กุญแจดังกล่าวยังมาพร้อมหน้าจอสีแสดงผลแบบระบบสัมผัส ซึ่งแสดงสถานะต่างๆ ของรถ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถรู้สถานะปริมาณของน้ำมันและระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ รวมถึงข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ โดยกุญแจนี้สามารถชาร์จได้ด้วยเครื่องชาร์จไร้สายที่ติดตั้งมากับรถหรือจากพอร์ต USB ทั่วไป

อารมณ์ความรู้สึกที่ได้ขับขี่มีความสนุกสนานเต็มพิกัด พร้อมความมั่นใจในการควบคุมตัวรถจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงความล้ำสมัยของเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกสบายในชีวิต ซึ่งเข้าใกล้รถยนต์อัตโนมัติขึ้นทุกวัน และสร้างความภาคภูมิใจในการได้นั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์คันนี้ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคัน สนนราคาบีเอ็มฯ ซีรี่ส์ 5 เริ่มต้นที่ 3.59-4.39 ล้านบาท