posttoday

"ซูซูกิ"ลุ้นโตปีนี้5% ชี้รถคันแรกช่วยไม่มาก

21 กุมภาพันธ์ 2560

ซูซูกิฯ ตั้งเป้าปีนี้โต 5% หวังรักษาแชร์ 3% ห่วงปัจจัยสิ้นสุดรถคันแรกช่วยดันตลาดไม่ถึง 10% ผู้ใช้สิทธิ

ซูซูกิฯ ตั้งเป้าปีนี้โต 5% หวังรักษาแชร์ 3% ห่วงปัจจัยสิ้นสุดรถคันแรกช่วยดันตลาดไม่ถึง 10% ผู้ใช้สิทธิ

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ของบริษัทปี 2559 อยู่ที่ 2.29 หมื่นคัน เติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ทำยอดขายได้ 2.12 หมื่นคัน และมีส่วนแบ่งในตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 3% จากปีก่อนหน้ามี 2.6% ซึ่งภาพรวมตลาดรถยนต์ปี 2559 มีปัจจัยลบหลายประการส่งผลให้ตลาดชะลอตัว

ทั้งนี้ ปี 2560 บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 2.4 หมื่นคัน เพิ่มจากปีก่อน 5% และรักษาส่วนแบ่งตลาดให้ได้ที่ 3% โดยปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้บริษัทมียอดขายเติบโตได้คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมากกว่า 1 รุ่นภายในปีนี้ รวมถึงการขยายผู้แทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 104 แห่งเป็น 120 แห่ง ภายในปีนี้เช่นกัน และการสร้างประสบการณ์การซื้อที่เหนือความคาดหมายให้กับผู้บริโภค และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้วยการบริหารจัดการการส่งอะไหล่ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลบภาพลักษณ์ต้องรออะไหล่นานดังเช่นในอดีต

นอกจากนี้ ภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 8 แสนคัน เติบโตขึ้นราว 4-5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 7.67 แสนคัน ซึ่งปัจจัยเติบโตด้านบวกมาจากการกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ที่จะช่วยกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ รวมถึงโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการถือครอง 5 ปี ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการจำนวน 1.1 ล้านคัน

“ปัจจัยหลักการเติบโตของตลาดรถยนต์ในปีนี้ มาจากการสิ้นสุดการถือครองรถยนต์คันแรก 5 ปี ซึ่งคาดหวังอัตราสูงสุดของผู้ที่จะเปลี่ยนรถยนต์จากโครงการดังกล่าว 10% ของผู้ใช้สิทธิ หากแต่พิจารณาลงลึกในรายละเอียดจากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันที่ยังสูง ทำให้คาดว่าจะมีเพียง 5% ในความเป็นไปได้เท่านั้นที่จะมีการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ จึงเป็นเหตุผลในการคาดการณ์ดังกล่าว”นายวัลลภ กล่าว

ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายในการทำธุรกิจรถยนต์ในปีนี้ ที่ปัจจัยการกระตุ้นให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายที่สุดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในมุมมองของบริษัท นอกเหนือจากการที่มีผลิตภัณฑ์ที่ดี โปรโมชั่นที่ดี และการติดตามลูกค้าที่ดี

สำหรับอีกปัจจัยที่น่าจับตาคือกำลังซื้อภาคครัวเรือนที่ยังคงมีภาวะหนี้ครัวเรือนสูงอย่างต่อเนื่องและความเข้มงวดของสถาบันการเงินที่แม้จะเริ่มผ่อนคลายลงแต่ก็ยังมีขั้นตอนการพิจารณาเข้มงวดอยู่