"ทรัมป์"ย้ำจุดยืนล้ม "ทีพีพี" ดันนโยบายเน้นสร้างงานมะกัน
นโยบายอันดับแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะทำ คือ การถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยแผนการ 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2017 โดยจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างงานและผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นสำคัญ
นโยบายอันดับแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะทำ คือ การถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรี 12 ชาติ รวมสหรัฐและเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจสหรัฐ โดย ทรัมป์ ระบุว่า จะเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่มีความยุติธรรม รวมถึงสร้างงานและอุตสาหกรรมให้ชาวอเมริกัน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้าง ความกังวลให้กับประเทศสมาชิกทีพีพีอย่างญี่ปุ่น ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรของญี่ปุ่นลงมติให้สัตยาบันในข้อตกลง ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น กล่าวภายหลังการให้คำมั่นของทรัมป์ว่า ทีพีพีจะไร้ความหมายเมื่อสหรัฐไม่เข้าร่วม
"มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาใหม่อีกครั้ง เพราะทีพีพีเมื่อปราศจากสหรัฐแล้ว จะสร้างความล้มเหลวให้กับสมดุลด้านผลประโยชน์" อาเบะ กล่าว
ไม่ใช่เพียงแต่ข้อตกลงทีพีพีเท่านั้น ทรัมป์ยังวางแผนจะเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ระหว่างสหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก ใหม่ เพื่อให้ได้ประโยชน์กับแรงงานชาวสหรัฐมากขึ้น ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า บรรดานักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐของแคนาดาและเม็กซิโกเตรียมข้อ เรียกร้องมากมายสำหรับการเจรจาใหม่ ซึ่งยากที่จะได้รับการยอมรับจากสหรัฐ
นอกจากการยกเลิกทีพีพีแล้ว ทรัมป์ยังจะยกเลิกการควบคุมอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานของสหรัฐ ซึ่งมีการบังคับใช้ในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามาที่มีความต้องการลดภาวะ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพื่อให้อุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถกลับมาจ้างงานได้เพิ่มขึ้นหลายล้าน รวมถึง จะพิจารณาสอบสวนการละเมิดวีซ่า ของชาวต่างชาติที่ส่งผลให้แย่งงาน ชาวอเมริกันอีกด้วย
ทั้งนี้ เคลเยนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์ เปิดเผยว่า ทรัมป์ได้เลือกตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญไว้แล้ว 2 ตำแหน่ง รวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวอีก 3 ตำแหน่ง เพียงแต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ
"อาจจะประกาศในสัปดาห์นี้ หรืออาจจะมาในวันนี้ แต่พวกเราไม่เร่งรีบ ที่จะประกาศรายชื่อต่อสาธารณะ" คอนเวย์ กล่าว
คุมเข้มวีซ่า H-1B สะเทือนธุรกิจ
ทรัมป์ให้สัญญาจะให้แนวทางกับกระทรวงแรงงานในการสอบสวนการละเมิดโครงการวีซ่าสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ โดยด้านเจฟฟ์ เซสชันส์ ว่าที่รัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของทรัมป์ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์โครงการวีซ่าดังกล่าวมาโดยตลอด เปิดเผยว่า จะคุมเข้มโครงการวีซ่าสำหรับภาคส่วนเทคโนโลยี H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับแรงงานชาวต่างชาติทักษะสูง
"ตำแหน่งงานของแรงงานชาวสหรัฐหลายพันโดนแทนที่ด้วยชาวต่างชาติ" เซสชันส์ กล่าว
การคุมเข้มดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับซิลิคอนวัลเลย์ ดินแดนแห่งเทคโนโลยีของสหรัฐ ซึ่งมีการขอให้ขยายโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด โดยโครงการ ดังกล่าวมีการรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในสหรัฐเฉลี่ยปีละ 8.5 หมื่นอัตรา
ขณะที่ก่อนหน้านี้ไฟแนนเชียล ไทมส์ อ้างข้อมูลจากศูนย์บริการด้านการเข้าเมืองและสัญชาติอเมริกัน ระบุว่า ปัจจุบันชาวอินเดียเป็นผู้เข้ามาทำงานในสหรัฐผ่านวีซ่า H-1B มากที่สุด คิดเป็นราว 70% ของทั้งหมด ขณะที่สัญชาติจีน อยู่ที่ราว 10% และอื่นๆ อีกราว 20% นอกจากนี้รายงานยังระบุด้วยว่า เกือบครึ่งของสตาร์ทอัพในสหรัฐที่มีมูลค่า มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) จะมีผู้ร่วม ก่อตั้งเป็นชาวต่างชาติอย่างน้อย 1 คน
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า บรรดาภาคเทคโนโลยีมีการจ้างงานต่างชาติด้วยวีซ่า H-1B โดยทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส บริษัทให้บริการเทคโนโลยีและที่ปรึกษา เป็นอันดับ 1 ที่มีการจ้างงานต่างชาติด้วยวีซ่าประเภทดังกล่าวมากที่สุด 8,333 อัตรา ส่วน อเมซอน ค้าออนไลน์รายใหญ่จ้างงานทั้งหมด 826 อัตรา คิดเป็นอันดับ 12 ของประเทศ ตามมาด้วยกูเกิลและไมโครซอฟท์ที่อยู่ที่อันดับ 14 และ 15 ตามลำดับ ขณะที่เฟซบุ๊กอยู่อันดับที่ 24 และแอปเปิ้ลอยู่อันดับที่ 34
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ปีเตอร์ เทียล ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์เพย์พัล และหนึ่งในทีมเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ เดินหน้าพบปะบรรดาผู้บริหารใน ซิลิคอนวัลเลย์ เพื่อขอให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นช่วยให้คำแนะนำกับว่าที่ประธานาธิบดี หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรี
แหล่งข่าวระบุว่า ยังไม่แน่ชัดว่ามีผู้บริหารคนใดตกลงเข้าร่วมกับเทียลบ้าง ขณะที่บางส่วนไม่ให้ความร่วมมือ เพราะไม่พอใจนโยบายทรัมป์ซึ่งอาจสร้างความแตกแยก และการให้ความร่วมมือกับทรัมป์จะยิ่งเป็นการกดดันบรรยากาศในการทำธุรกิจและสังคม
ภาพ เอเอฟพี


