'เบร็กซิต'สะเทือนโลก อังกฤษจะ 'อยู่'หรือ'ไป'
การทำประชามติแยกตัวอียู ของอังกฤษได้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่ามกลางความวิตกของผู้คนทั่วโลกและตลาดทุนที่ระส่ำระสาย เช่นเดียวกับอนาคตข้างหน้าของทั้งอังกฤษและอียู
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
การทำประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษได้ผ่านพ้นไปแล้ว และผลสุดท้ายอย่างเป็นทางการจะเปิดเผยในวันนี้เวลา 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นอังกฤษ หรือเวลา 13.00 น. ตามเวลาไทย ท่ามกลางความวิตกของผู้คนทั่วโลกและตลาดทุนที่ระส่ำระสาย เช่นเดียวกับอนาคตข้างหน้าของทั้งอังกฤษและอียู
"ออกก็คือออก" ฌอง โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมการยุโรป (อีซี) กล่าวเป็นการปฏิเสธจะไม่มีการพูดคุยเพื่อขอให้อังกฤษอยู่กับอียู ต่อไป หากประชาชนอังกฤษส่วนใหญ่ตัดสินใจออกจากสหภาพ หรือ "เบร็กซิต"
ก่อนหน้าที่ประชาชนชาวอังกฤษจะเข้าคูหาเพื่อทำประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผลสำรวจจาก 3 สถาบัน ชี้ว่า ฝ่ายสนับสนุนให้อยู่กับสหภาพยุโรปต่อขึ้นนำ โดยผลสำรวจของหนังสือพิมพ์เอเวนนิงสแตนดาร์ด พบว่า ฝ่าย "อยู่" ขึ้นนำฝ่าย "ออก" อยู่ 52% ต่อ 48% เช่นเดียวกับผลสำรวจของคอมเรส บริษัทวิจัยตลาด พบว่า ฝ่ายอยู่นำที่ 48% ต่อ 42% ขณะที่ผลสำรวจของยูโกฟ พบว่า ฝ่ายอยู่ขึ้นนำที่ 51% ต่อ 49% เมื่อเทียบกับผลสำรวจเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ฝ่ายออกขึ้นนำ 44% ต่อ 42%
สำนักข่าวเกียวโด รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 ชาติ (จี7) เตรียมออกแถลงการณ์ทันทีที่ทราบผลอย่างเป็นทางการ เพื่อลดความกังวลและอาการตื่นตระหนกของตลาด ถ้าหากผลที่ออกมาเป็นอังกฤษออกจากอียู หรือถ้าหากคะแนนของทั้ง 2 ฝ่ายใกล้กันมากแม้ฝ่ายอยู่จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ด้าน หนังสือพิมพ์ไบลด์ของเยอรมนี รายงานอ้าง มอริทส์ เครเมอร์ หัวหน้าฝ่ายการจัดอันดับเรตติ้งของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ว่า เอสแอนด์พี อาจลดความน่าเชื่อถือของอังกฤษที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ AAA หากอังกฤษออกจาก อียู เนื่องจากเบร็กซิตจะทำให้ยากต่อการคาดการณ์สถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดแผนการที่ชัดเจนหลังเบร็กซิต
สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ เครเมอร์ ระบุว่า หากอังกฤษออกจากอียูอาจทำให้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปจะสั่นคลอน ทั้งในด้านการเมือง การเงิน และการค้า
ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งอังกฤษ คาดการณ์ว่า จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิลงประชามติครั้งนี้มากกว่า 46.49 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษในการทำประชามติทั่วประเทศครั้งที่ 3 ของแดนผู้ดี
ไอเอ็มเอฟเตือนดอลลาร์แข็ง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกโรงเตือนว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสี่ยงจะ แข็งค่าขึ้นมากกว่าเดิมหลังการทำประชามติของอังกฤษ โดยปัจจุบันค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งมากกว่าที่สภาพเศรษฐกิจสหรัฐรับได้ถึง 10-20% ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐจาก 2.4% เหลือ 2.2% สำหรับปี 2016 นี้
นอกจากนี้ ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้นยังมีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนในเศรษฐกิจประเทศอื่นทั่วโลก และฉุดการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสหน้า
ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นนับจากสิ้นเดือน พ.ค.ที่อยู่ที่เหนือ 111 เยน/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 104.62 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 10.44 น. ตามเวลาฮ่องกงของเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลของเจฟเฟอรีส์ ธนาคารเพื่อการลงทุนสัญชาติอเมริกัน ระบุว่า เบร็กซิต จะก่อให้เกิดการถอนทุนจากตลาดหลักทรัพย์อังกฤษเพียงอย่างเดียวมากถึง 4,310 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ในช่วง 8 สัปดาห์หลังการทำประชามติ
ด้านโนมูระ สถาบันการเงินจากญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นได้ถึง 4% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ถ้าหากฝ่ายออกจากอียูได้รับชัยชนะ ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น ค่าเงินเยนก็มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นเทียบกับปอนด์ของอังกฤษมากถึงเกือบ 14%
อย่างไรก็ตาม ด้าน เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เฟดจะไม่มีการจัดการประชุมนัดพิเศษในวันที่ 24-25 มิ.ย.นี้ เพื่อหามาตรการรับมือกับเบร็กซิต แม้การออกจากอียูของอังกฤษจะเป็นปัจจัยเสี่ยง และจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ประเทศอื่นเตรียมเอาอย่างอังกฤษ
ผลสำรวจของยูโกฟ พบว่า ชาวสวีเดนจำนวน 69% ต้องการให้สวีเดนออกจากอียูด้วยเช่นกันภายหลังยุคเบร็กซิต เช่นเดียวกับ 66% ของชาวเดนมาร์ก และ 57% ของชาวนอร์เวย์ ก็มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
เปาโล ดาร์เดเนลลี อาจารย์อาวุโสในด้านการเมืองเปรียบเทียบและผู้อำนวยการศูนย์ศึกษารัฐ มหาวิทยาลัยเคนท์ ในอังกฤษ เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ผลกระทบจากการทำประชามติของอังกฤษจะทำให้ประเทศอื่นในยุโรปเอาอย่าง และยังสร้างความสงสัยต่ออียูให้เกิดขึ้นกับประชาชนของประเทศอื่นๆ ในยุโรป อย่างไรก็ตาม การ ตัดสินใจออกจากอียูจะไม่เป็นไปในทันทีทันใด
ดาร์เดเนลลี ระบุว่า เดนมาร์ก สวีเดน และไอร์แลนด์ จะต้องพบกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับการออกจากอียูของอังกฤษ โดยแม้ทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวจะเป็นสมาชิกอียู แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกยูโรโซน รวมถึงยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอังกฤษมากกว่า ขณะที่ด้านเยอรมนี สมาชิกหลักของอียู จะต้องเสียพันธมิตรด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ ศักยภาพการแข่งขัน การค้าเสรี และอื่นๆ อย่างสหราชอาณาจักรไป
"ผลสุดท้ายอียูจะมีศักยภาพการแข่งขันลดลง และปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองมากขึ้น" ดาร์เดเนลลี กล่าว
ด้าน คาร์สเตน นิกเกิล นักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเมือง จากเทเนโอ อินเทลลิเจนซ์ บริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐ เปิดเผยว่า ไม่ว่าอังกฤษจะตัดสินใจอยู่หรือไปจากอียู แต่ในภาพกว้าง ยุโรปก็เต็มไปด้วยฝ่ายที่ต่อต้านอียูและพรรคการเมืองชาตินิยม แสดงให้เห็นว่า ยุคสมัยของการรวมตัวกันอย่างแนบแน่นได้จบลงแล้ว
"คุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้คนมีบทสนทนาที่ว่า 'เราไม่ต้องการใช้ภาษีเพื่อช่วยยุโรปทางตอนใต้ ซึ่งไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจของตัวเองได้' ดังนั้น ผมจึงคิดว่านั่นแหละ เป็นปัญหา" นิกเกิล กล่าว
ด้านประเทศที่พยายามเจรจาเพื่อขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกอียูมาโดยตลอดอย่างตุรกีนั้น ประธา นาธิบดี เรเซฟ เตยิป เออร์โดกัน ของตุรกี เปิดเผยว่า ตุรกีสามารถจัดทำประชามติในรูปแบบเดียวกับอังกฤษได้ เพื่อสอบถามความคิดเห็นประชาชนจะให้ตุรกีเดินหน้าเจรจาเพื่อขอเป็นสมาชิกอียูต่อไปหรือไม่
"ยุโรปไม่ต้องการพวกเรา เพราะประชากรส่วนใหญ่ของพวกเราเป็นชาวมุสลิมพวกเรารู้ในข้อนั้น แต่พวกเราก็พยายามจะแสดงความจริงใจ" เออร์โดกัน กล่าว
การค้า-เศรษฐกิจ
ออก
- อังกฤษสามารถต่อรองสถานภาพความสัมพันธ์กับอียูในรูปแบบใหม่ และรักษาข้อตกลงทางการค้าเดิมกับ คู่ค้าได้
- อังกฤษอาจจะยังเป็นส่วนหนึ่งของตลาดร่วม ในรูปแบบเดียวกับนอร์เวย์ ซึ่งจะเป็นผลให้นโยบายด้านภาษีและการเข้าถึงตลาดเป็นเหมือนเดิม
- อังกฤษอาจจะลดค่าใช้จ่ายสัปดาห์ละหลายร้อยล้านปอนด์ที่ต้องส่งให้อียู
อยู่
- อังกฤษไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต่อรองสถานภาพทางการค้าใหม่ ซึ่งใช้เวลาหลายปี และมีต้นทุนต่ำกว่าออกจากอียู
- อังกฤษสามารถเข้าถึงตลาดอียู ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ได้มากกว่า
- ธุรกิจขนาดใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น อินเดีย และจีน อาจจะย้ายออกจากอังกฤษหากอังกฤษออกจากอียู
นโยบายผู้อพยพ
ออก
- อังกฤษต้องเจรจากับอียูใหม่เรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ซึ่งอาจใช้ข้อตกลงเดิมได้อยู่ แต่ฝ่ายเบร็กซิตต้องการเปลี่ยนไปใช้ระบบเดียวกับในแคนาดาและออสเตรเลีย ที่เลือกรับเฉพาะผู้อพยพที่มีทักษะการศึกษา ภาษา และอายุ
- อังกฤษสามารถจำกัดจำนวนผู้อพยพ และออกแบบระบบที่มีประสิทธิภาพเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศได้มากขึ้น
อยู่
- อังกฤษต้องรับพลเมืองสัญชาติอียูทั้งหมด ที่จะย้ายถิ่นฐานเข้ามา
- อังกฤษมีแนวโน้มรับผู้อพยพเพิ่มขึ้นทุกปี ตามระบบของอียูที่เผชิญวิกฤตผู้อพยพ
** ตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 แรงงานจำนวนมากจากกลุ่มยูโรโซน เข้ามาหางานในอังกฤษ โดยในปี 2015 อังกฤษรับแรงงานอพยพถึง 3.33 แสนคน ซึ่งกระทบต่อแรงงานและค่าแรงในประเทศ
ความมั่นคง
ออก
- อังกฤษควบคุมการเคลื่อนย้ายคนข้ามพรมแดนและป้องกันการก่อการร้ายได้เข้มงวดขึ้น
- หน่วยข่าวกรองอังกฤษเป็นผู้ให้ข้อมูลต่อยูโรโพลมากสุด ดังนั้นการถอนตัวจึงไม่ส่งผลมากนัก
- ความร่วมมือทางทหารในอียู เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ การออกจากอียู จึงส่งผลน้อย
- อียูอาจจะเรียกร้องให้อังกฤษส่งทหารเข้าร่วมกองทัพอียูเพิ่ม
อยู่
-อังกฤษยังเข้าถึงฐานข้อมูลความมั่นคงร่วมของสำนักงานตำรวจยุโรป (ยูโรโพล) ซึ่งใช้ปราบปรามอาชญากรรมในปัจจุบันได้ ในฐานะผู้ร่วมปฏิบัติการ และมีอำนาจตัดสินใจสูง
** ยูโรโพล คือหน่วยบังคับใช้กฎหมายจากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่หลายรัฐของอียู ที่จัดการข่าวกรองด้านอาชญากรรม ต่อต้านอาชญากรรมและการก่อการร้าย ครอบคลุมหน่วยตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจชายแดน
ภาพ เอเอฟพี


