posttoday

รถยนต์โลกไม่หยุดฉาว'มิตซูบิชิ'อ่วมหนักรอบ 2

22 เมษายน 2559

มาตรฐานยานยนต์โลกเป็นปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง หลัง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ยอมรับว่ามีการโกงผลทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันจริง

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

มาตรฐานยานยนต์โลกเป็นปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง หลัง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ยอมรับว่ามีการโกงผลทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันจริง แม้ประเด็นดังกล่าวจะไม่เกี่ยวกับความปลอดภัย แต่การปลอมแปลงข้อมูลเรื่องการประหยัดน้ำมันก็ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงจะกระทบต่อชื่อเสียงบริษัทเท่านั้น แต่รวมถึง ชื่อเสียงประเทศด้วย

ก่อนหน้านี้ในปี 2000 มิตซูบิชิปกปิดข้อบกพร่องระบบความปลอดภัยรถยนต์ ถัดมาอีก 4 ปี ตรวจพบปัญหาการทำงานของเบรก คลัตช์ และถังน้ำมัน นาไปสู่การเรียกคืนรถยนต์ครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น และส่งผลให้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ต้องแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่อย่าง มิตซูบิชิ กรุ๊ป และใช้เวลาหลายปีในการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค
 
ปีเตอร์ บอร์ดแมน กรรมการผู้จัดการของ เทรดวินด์ส โกลบอล อินเวสเตอร์ ระบุว่า เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับมิตซูบิชิจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินของ มิตซูบิชิอย่างหนัก รวมถึงการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น

กรณีดังกล่าวของมิตซูบิชิถือเป็นครั้งแรกของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่โกงการทดสอบดังกล่าว ส่งผลให้หุ้น มิตซูบิชิร่วงลงทันที 15% และร่วงต่อเนื่องในวันที่ 21 เม.ย. อีก 20% จนต้องระงับการซื้อขายชั่วคราว สูญเสียมูลค่าทางการตลาดกว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.75 หมื่นล้านบาท) หลังกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นบุกตรวจค้นสำนักงานใหญ่ในเมืองนาโกยา และอาจมีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังด้วย
 
"เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และไม่สามารยอมความกันได้" โยชิฮิเดะ ซูกะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น กล่าวย้ำ

อากิระ คิชิโมโตะ นักกลยุทธ์ยานยนต์ของเจพีมอร์แกน คาดการณ์ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมากกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.57 หมื่นล้านบาท) ซึ่งรวมถึงการจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย ต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ และค่าชดเชยให้กับนิสสัน อีกทั้งการระงับการผลิตรถจะส่งผลดีต่อค่ายรถคู่แข่งอย่าง ซูซูกิ และไดฮัทสุ

ด้าน โคอิชิ ซูกิโมโตะ นักวิเคราะห์ของธนาคารโตเกียว มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ระบุว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส อาจต้องขายสินทรัพย์ในหน่วยธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก หรือเพิ่มทุน เนื่องจากกรณีดังกล่าวจะกระทบต่อรายได้ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส อย่างมาก

ก่อนหน้านี้ในปี 2015 "โฟล์คสวาเกน" ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน เผชิญปัญหาอื้อฉาวจากการโกงการทดสอบมลพิษ ด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์ในเครื่องยนต์ดีเซล กระทบรถยนต์กว่า 11 ล้านคันทั่วโลก

ล่าสุดบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าว ระบุว่า โฟล์คสวาเกนเตรียมซื้อคืนรถยนต์ในสหรัฐราว 6 แสนคัน และสำรองเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 แสนล้านบาท)

เช่นเดียวกับ "ฮุนได" และ "เกีย" ผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลีใต้ ที่ปกปิดข้อมูลประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานในรถยนต์ที่ขายในสหรัฐ ส่งผลให้ต้องเสีย ค่าปรับถึง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 หมื่น ล้านบาท)

นอกจากนี้ มาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ยังรวมถึงปัญหาของถุงลมนิรภัยยี่ห้อ "ทากาตะ" หลังมีการตรวจพบสารแอมโมเนียมไนเตรท ซึ่งเป็นส่วนผสมในการผลิตระเบิด ทำให้ชิ้นส่วนพลาสติกหรือโลหะกระเด็นออกมาขณะที่ถุงลมพองตัว ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 100 ราย และเสียชีวิตถึง 10 ราย

กรณีดังกล่าว ส่งผลให้ค่ายรถทั่วโลก อาทิ เฟียต ไครสเลอร์ ฮอนด้า โตโยต้า นิสสัน ฟอร์ด ออดี้ มาสด้า ซาบ โฟล์คสวาเกน บีเอ็มดับเบิลยู และเดมเลอร์ ต่างเรียกคืนรถยนต์เป็นการด่วนกว่า 35 ล้านคัน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจมีเรียกคืนรถที่ใช้ถุงลมทากาตะมากถึง 70-90 ล้านคัน

สำหรับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ'นอย่าง โตโยต้า ก็เคยประสบปัญหามาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์เช่นกัน โดยในปี 2010 อะกิโกะ โทะโยะดะ ประธานโตโยต้า ต้องขึ้นแถลงแสดงความเสียใจต่อสภาคองเกรสของสหรัฐ กรณีคันเร่งค้าง ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุหลายสิบครั้งในปี 2009 และมีการเรียกคืนรถกว่า 8 ล้านคันทั่วโลก

ข่าวล่าสุด

เมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “ทางรอด”… ทรู ดิจิทัล ถอดสูตรดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน