posttoday

แผ่นดินไหวสะเทือนเศรษฐกิจ"อาเบะ"ยันขึ้นภาษีตามแผน

19 เมษายน 2559

นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยืนยันไม่เลื่อนขึ้นภาษีขายจาก 8% เป็น 10% ออกไปจากกำหนดการเดิมในเดือน เม.ย. 2017 แม้หลายฝ่ายกังวลแผ่นดินไหวจะกระทบเศรษฐกิจ

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

แผ่นดินไหว 2 ครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ'น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 42 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 1,000 ราย และผู้คนอีกมากกว่า 1.1 แสนรายยังไร้ที่อยู่ ขณะที่เที่ยวบินไปยังสนามบินคุมาโมโตถูกยกเลิกทั้งหมด และรถไฟความเร็วสูงยังระงับการให้บริการ ขณะเดียวกันถนนและทางหลวงหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเจ้าหน้าที่ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์เข้าแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน

แผ่นดินไหวดังกล่าวสะเทือนต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งดิ้นรนเพื่อหนีจากการตกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางตอนใต้ของญี่ป่นเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา อาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและเลื่อนการปรับใช้นโยบายขึ้นภาษีขาย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยมาแล้วในปี 2014

นายกฯ ของญี่ปุ่น ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ยังคงดำเนินการตามแผนการขึ้นภาษีในปี 2017 แน่นอน

"ตามที่เคยได้กล่าวไปก่อนหน้าในส่วนของภาษีขายจะเป็นไปตามแผนการเดิม และไม่มี การเปลี่ยนแปลงในจุดยืนพื้นฐาน นอกจากจะมีเหตุการณ์รุนแรงเทียบเท่ากับการล้มลงของเลห์แมน บราเธอร์ส หรือมีภัยพิบัติครั้งใหญ่" อาเบะ กล่าว

ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ว่า อาเบะจะพิจารณาเลื่อนการขึ้นภาษีซึ่งตามแผนคือในเดือน เม.ย. 2017 เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ภาคการบริโภคอ่อนแอ ค่าแรงยังคงไม่แน่นอน รวมทั้งค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลทางลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ป'น และสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ

ทั้งนี้ รัฐบาลวางแผนขึ้นภาษีขายเป็น 10% จากเดิมที่ 8% ในเดือน เม.ย. 2017 เพื่อแก้ปัญหาทางการคลังและลดระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นสูง รวมถึงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับประกันสังคม ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า อาเบะจะแถลงผลการตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีในระหว่างการประชุมสมาชิกกลุ่มชาติมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมทั้ง 7 (จี7) ที่ญี่ป'นเป็นเจ้าภาพ วันที่ 26-27 พ.ค.นี้

โรเบิร์ต ฟิลด์แมน นักเศรษฐศาสตร์จากหน่วยวิจัยมอร์แกน สแตนเลย์ ระบุก่อนหน้านี้ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกาะคิวชู ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค และจิตวิทยาทางธุรกิจ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลที่ เหมาะสมสำหรับการเลื่อนใช้มาตรการการขึ้นภาษีการบริโภค

ออกงบช่วยเหลือท่ามกลางท่องเที่ยวฟุบ

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (ยูเอสจีเอส) ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ 72% ที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภัยพิบัติจะมี มูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 แสนล้านบาท) โดย โยชิฮิเดะ ซูกะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ'น ระบุว่า รัฐบาลจะช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอย่างเต็มความสามารถ โดยอาจจะดึงเงินจากงบประมาณสำรองมูลค่า 3.5 แสนล้านเยน (ราว 1.05 แสนล้านบาท)

ด้าน ฮิเดโอ ฮายากาวะ อดีตกรรมการบริหารของธนาคารกลางญี่ป'น (บีโอเจ) ระบุว่า เหตุภัยพิบัติครั้งนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดการยุบสภา เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบยังได้รับความเสียหายและมีปัญหาวุ่นวายหลายอย่างที่จะต้องจัดการ รวมทั้งทำให้รัฐบาลต้องเร่งเพิ่มงบประมาณ

ขณะที่ ฮารูมิ อาริมะ นักวิเคราะห์ด้านการเมือง ระบุว่า รัฐบาลจะต้องเพิ่มงบประมาณก้อนใหญ่เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุแผ่นดินไหว รวมทั้งเพื่อหามาตรการรับมือที่ดีขึ้นกว่าเดิม

เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในจังหวัดคุมาโมโตลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยข้อมูลของบีโอเจ ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้อาจจะขยายตัว เกิน 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.45 แสนล้านบาท)

แผ่นดินไหวเขย่าผู้ผลิต

บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติดังกล่าวจะทำให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือน เม.ย. ลดลง 1% รวมทั้งกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในภาคการบริโภค ขณะที่โรงงานของผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง โตโยต้า โซนี่ และฮอนด้า ยังคงปิดทำการ

ขณะเดียวกัน โคอิชิ ซูกิโมโตะ นักวิเคราะห์จาก มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มอร์แกน สแตนเลย์ ในโตเกียว คาดการณ์ว่า ผลกำไรในไตรมาสปัจจุบันของ โตโยต้า มอเตอร์ อาจจะลดลงถึง 3 หมื่นล้านเยน (ราว 9,700 ล้านบาท) เนื่องจากต้องหยุดการผลิตเพราะไม่สามารถขนส่งวัตถุดิบจากโรงงานทางภาคใต้ได้

ขณะที่นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ โฮลดิ้งส์ ระบุว่า แม้จะยังไม่ทราบระดับความเสียหายที่แน่ชัด แต่ส่วนที่ได้รับความ เสียหายมากที่สุดน่าจะเป็นส่วนของการขนส่งสินค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

นิกเกอิปรับตัวลง 3.40% และปิดตลาดที่ 16275.95 จุด ขณะที่ดัชนีโทปิกซ์ในกรุงโตเกียว ปิดตัวลดลง 3% อยู่ที่ 1,320.15 จุด นำโดย นิสสัน และฮอนด้า ลดลงมากกว่า 5% ในการซื้อขายช่วงเช้า ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงบ่าย โดยหุ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรมลดลง หลังปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มธุรกิจประกันและสาธารณูปโภค รวมทั้งบริษัทผลิตพลังงานนิวเคลียร์ ก็ลดลงเช่นกัน

นอกจากนี้ ค่าเงินเยน ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 108.23 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 16.55 ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงโตเกียว

ข่าวล่าสุด

เมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “ทางรอด”… ทรู ดิจิทัล ถอดสูตรดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน