เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย สัญญาณเศรษฐกิจโลกย่ำแย่
เฟด มีมติ 9 ต่อ 1 เสียง ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0.25-0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2016 อยู่ที่ 0.875%
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) มีมติ 9 ต่อ 1 เสียง ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0.25-0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2016 อยู่ที่ 0.875% ซึ่งหมายความว่า หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีกเพียง 2 ครั้งเท่านั้น
นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยให้ถึง 1.875% ภายในสิ้นปี 2017 เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 2.375% และคาดการณ์ให้ถึง 3% ภายในปี 2018 ลดลงจาก 3.25% ขณะที่ในระยะยาวคาดการณ์เอาไว้ที่ 3.25% ลดลงจาก 3.5%
เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และประธานเอฟโอเอ็มซี กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แม้จีนและเม็กซิโกจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันถูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง เฟดจึงควรที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายของเฟด
จอน ฟอสต์ อดีตที่ปรึกษาของเยลเลน กล่าวว่า ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกภายในที่ประชุมเฟด คือ ความกังวลต่อค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น จากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างเข้มข้นจากประเทศอื่น โดยจะมีผลให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐยังคงโตต่ำและกระทบกับการส่งออก ประกอบกับความกังวลเศรษฐกิจโลกที่ขาดแรงขับเคลื่อนใหญ่
"จากวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ พวกเราเรียนรู้ว่าโลกเปราะบางมาก ในเวลาแบบนี้คุณไม่อยากที่จะเสี่ยงหกล้มแรง เพราะทั่วโลกมีตัวเลือกนโยบายที่แข็งแกร่งพอจะกระตุ้นเศรษฐกิจน้อย" ฟอสต์ กล่าว
ซื้อเวลาตลาดเกิดใหม่
ด้าน ไมเคิล อาโรน หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจากสเตต สตรีท โกลบอล แอดไวเซอร์ บริษัทที่ปรึกษาในบอสตัน เปิดเผยว่า การชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดเกิดใหม่ที่กำลังย่ำแย่จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถูกและหุ้นกู้ของภาคเอกชนในสกุลของเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยซื้อเวลาให้แก่ตลาดเกิดใหม่ ในการหามาตรการทั้งการคลังและนโยบายเชิงโครงสร้างในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ) เปิดเผยว่า ปริมาณหนี้สุทธิของตลาดเกิดใหม่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยหนี้สุทธิทั้งจากภาครัฐ ครัวเรือน และภาคการเงิน รวมถึงหุ้นกู้ของภาคเอกชนในตลาดเกิดใหม่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 56 ล้านล้านบาท) เป็น 62 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2,170 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2015 หรือคิดเป็น 210% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ตลาดเกิดใหม่
สวนทางกับหนี้ของตลาดพัฒนาแล้วที่ปรับตัวลดลงราว 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 420 ล้านล้านบาท) อยู่ที่ 175 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,125 ล้านล้านบาท)
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 2016 ถึงกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงกว่า 10% ก่อนจะเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ทั้งปีนี้ ปรับลดลงเหลือเพียง 1.4% เท่านั้น ขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่ากระทบกับการส่งออกของสหรัฐและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ก็เริ่มอ่อนค่าลง โดยนับตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2015 ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงราว 1.3% เทียบตะกร้าค่าเงิน
อินโดฯ เดินเครื่องลดดอกเบี้ยรอบที่ 3
ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (บีไอ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 7% เป็น 6.75% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งโตที่ 4.79% และเป็นการปรับลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ที่ฝากไว้กับบีไอ เป็น 4.75% และอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์กู้ยืมบีไอ เป็น 7.25% ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย ที่ให้มีการลดต้นทุนการกู้ยืมแก่ภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม เนติซิส เอเชีย ผู้ให้บริการทางการเงินในฮ่องกง กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความเสี่ยงให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากอินโดนีเซีย มากกว่าตลาดเกิดใหม่ประเทศอื่น เนื่องจากเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วมากเกินไป และยังเพิ่มโอกาสให้เกิดหนี้เสียในขณะที่รัฐบาลพยายามเพิ่มรายได้รัฐ เพื่อใช้กับการลงทุนภาครัฐ
ขณะเดียวกันคณะกรรมการเงินของรัฐสภาอินโดนีเซีย ผ่านกฎหมายรับมือกับวิกฤตการณ์เงิน โดยระบุคุณสมบัติของธนาคารที่สำคัญอย่างน้อย 20 แห่ง ในการขอรับเงินช่วยเหลือ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้รับการนำเสนอมาตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ตามความกังวลต่อการล้มลงของภาคธนาคาร
พีบีโอซีลดค่ากลางเงินหยวน
ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปรับอัตราอ้างอิงค่าเงินหยวนลง 0.32% เป็น 6.4961 เหรียญสหรัฐ/หยวน อย่างไรก็ตาม ทอมมี เซียะ นักเศรษฐศาสตร์โอซีบีซีในสิงคโปร์ ระบุว่า การอ่อนค่าดังกล่าวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลงไป 1.1% ในดัชนีเหรียญสหรัฐของบลูมเบิร์ก ภายหลังการเปิดเผยนโยบายของเฟดเมื่อวันที่ 17 มี.ค.
"ค่ากลางลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ เมื่อพิจารณาการอ่อนค่าของค่าเงินเหรียญสหรัฐตลอดทั้งคืน แสดงให้เห็นว่า ค่ากลางเงินหยวนยังคงไม่เป็นไปตามตลาดทั้งหมด" เซียะ กล่าว
นอกจากนี้ จากดัชนีค่าเงินหยวนของบลูมเบิร์ก ซึ่งจีนใช้เพื่อพิจารณาค่าเงินเทียบกับค่าเงินหลัก 13 สกุล ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 98.3 จุด อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2014 โดย เซียะ ระบุว่า จีนอาจจะเข้าช่วยสนับสนุนค่าเงินหยวน ถ้าหากดัชนีดังกล่าวร่วงลงไปต่ำกว่า 98 จุด ซึ่งเป็นจุดที่ส่งสัญญาณเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวและค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว


