ย้อนรอย"ทายาทกระทิงแดงชนตร." 5ปีเลื่อนคดีมาราธอน
ระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 5 ปี แรงทัดทานจากสังคมชี้ให้เห็นแล้วว่า ความรวยอาจอยู่เหนือกฎหมาย
โดย...เอกชัย จั่นทอง
เช้ามืดวันที่ 3 ก.ย. 2555 เกิดข่าวครึกโครมใหญ่โต หลัง นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลัง “กระทิงแดง” ควบรถสปอร์ตหรู เฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา มาด้วยความเร็วพุ่งชน ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป.สน.ทองหล่อ ขณะขี่รถจักรยานยนต์ตราโล่ ยี่ห้อไทเกอร์ จนดาบตำรวจถูกลากไปไกลกว่า 200 เมตร เสียชีวิตอย่างอนาถ
แน่นอนว่าไม่ใช่คดีเล็กน้อยทั่วไป ผู้ตายเป็นตำรวจและผู้ก่อเหตุเป็นถึงทายาทแสนล้านเครื่องดื่มชูกำลัง คดีย่อมไม่เงียบเป็นเป่าสากแน่ เช้าวันนั้น "บิ๊กแจ๊ด" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ในขณะนั้น) บึ่งรถมาตรวจที่เกิดเหตุด้วยตัวเองทันที พร้อมประกาศเดิมพันใช้ตำแหน่งตัวเองค้ำประกันว่า ต้องได้คนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย เรียกเสียงฮือฮาในแวดวงตำรวจและสื่อมวลอย่างมาก
"หากทางฝ่ายคู่กรณียังไม่ยินยอมให้ความร่วมมือ ก็จะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก200 นาย และหากยังไม่ได้ตัวอีก ก็จะขอลาออกจากตำแหน่ง เพราะในฐานะผู้บังคับบัญชา จะยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องเสียชีวิตไปฟรีๆ" พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวหลังตรวจสอบบ้านพักหรูนายเฉลิม อยู่วิทยา 3 ก.ย.2555
คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ สร้างขวัญกำลังใจให้กับลูกน้องอย่างมาก เพราะสังคมต่างเชื่อมั่นว่าคดีนี้จะได้ผู้ต้องหาตัวจริงมาดำเนินคดี แต่แล้วเหตุกับตาลปัตรมีตำรวจนายหนึ่งนำพ่อบ้านดูแลรถมามอบตัวกับตำรวจ อ้างตัวเป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ แต่ไม่สามารถตบตานายตำรวจใหญ่ อย่าง “บิ๊กแจ๊ด” ได้ จนถึงขั้นขนาดควันออกหูปรี๊ดแตก ก่อนบอกว่า "ผมไม่พอใจเพราะไปเอาตัวปลอมมามอบตัว ส่วนคนขับรถชนตำรวจตัวจริงยังลอยนวลอยู่ ผมทราบดีว่า สวป.คนดังกล่าวมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้กับบ้านของลูกชายเจ้าสัวกระทิงแดง แต่ทำงานแบบนี้ใช้ไม่ได้"
ระยะเวลากว่า 5 ปี เกิดข้อกังขาในกระบวนการยุติธรรมแล้วเหตุใดเล่าถึงล่าช้า มีการตั้งคำถามกระทุ้งจากสังคมมากมาย ผู้ก่อเหตุอย่างนายวรยุทธ ยังลอยนวลใช้ชีวิตหรูหราตามปกติ ไม่ได้สะทกสะท้านอย่างใด หนำซ้ำสื่อต่างประเทศยังนำเสนอข่าวนายวรยุทธ ใช้ชีวิตแสนสุขสบายในต่างประเทศ แต่ไม่ยอมมามอบตัวต่อสู้คดีตามกฎหมาย ต่างกับครอบครัวของดาบตำรวจวิเชียร วาดหวังว่ากระบวนการทางกฎหมายจะนำตัวคนก่อเหตุมาดำเนินคดีได้เสียที
จนแล้วจนรอดนายวรยุทธ ก็ยังไม่ปรากฏตัว กระทั่งศาลคดีอาญากรุงเทพใต้ มีความเห็นสั่งฟ้อง เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2559 โดยมีหนังสือให้มาพบพนักงานอัยการเพื่อนำตัวไปส่งฟ้องต่อศาล
แต่ที่ผ่านมา นายวรยุทธ ได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานอัยการรวมถึงพนักงานสอบสวนของ สน.ทองหล่อ รวม 6 ครั้ง ให้เหตุผลอ้างว่าติดธุระอยู่ต่างประเทศ 2 ครั้ง ถัดมาอ้างว่าได้ไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับคณะกรรมาธิการของสภาฯ ว่า ไม่ได้ขับรถเร็ว 3 ครั้ง และล่าสุดยื่นขอให้สอบปากคำพยานเพิ่มเติม 1 ครั้ง
เหตุผลสารพัดที่ถูกหยิบยกมาอ้างต่อศาล ทำให้คดีความยืดเยื้อยาวนานหลายปี สุดท้ายทำให้บางคดีหมดอายุความไปอย่างน่าเสียดาย
สรุปคดีแล้ว นายวรยุทธ ถูกพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อแจ้งความใน 3 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย
1.ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีอายุความ 15 ปี ซึ่งยังเหลืออายุความอีก 10 ปี จะหมดอายุความ 3 ก.ย. 2570
2.ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน ซึ่งมีอายุความ 5 ปี นั่นหมายความว่าข้อหานี้จะหมดอายุความในเดือนก.ย.ปีนี้
3.ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ที่มีอายุความ 1 ปี ทำให้หมดอายุความไปแล้วเมื่อปี 2556
ช่วงเวลาที่ผ่านแสดงให้เห็นนายวรยุทธ พยายามประวิงเวลาทางคดี ที่สำคัญยังไม่เคยมาพบศาลเลยแม้แต่ครั้งเดียว และล่าสุดกำหนดนัดวันที่ 27 เม.ย. นายวรยุทธ ยังพยายามทอดเวลามอบหมายให้ทนายความขอเลื่อนการนัดอีก แต่ศาลไม่อนุญาต เนื่องจากผลัดผ่อนมาแล้วหลายครั้ง
นี่เองกระมัง ทำให้สำนักงานอัยสูงสุด จำเป็นต้องใช้ไม้เด็ดตัดสินใจออกหมายจับนายวรยุทธ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 5 ปี แรงทัดทานจากสังคมชี้ให้เห็นแล้วว่า ความรวยอาจอยู่เหนือกฎหมาย