ทบทวนลดโทษคดีข่มขืน ประหารชีวิตเท่ากับการทารุณ
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เจ้าหน้าที่ต่้องบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และรวดเร็ว ไม่ใช่การจับไปประหารเพียงอย่างเดียว
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
เรียกว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญสังคมไทย และเป็นภัยใกล้ตัวผู้หญิง กับเหตุการณ์สยองฆ่าปาดคอครูสาว วัยเพียง 27 ปี โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวมาลงโทษตามกฎหมายได้ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมเรียกร้องให้มีการลงโทษและเพิ่มโทษประหารชีวิตผู้ก่อเหตุ “ข่มขืน” ทันที เพราะมองว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่เด็ดขาด โดยเฉพาะชนวนเหตุที่พบว่าผู้ต้องหารายนี้เพิ่งพ้นคดีข่มขืนมาได้เพียงไม่นาน ยังหวนกลับมาก่อเหตุซ้ำอีก
เรื่องเดียวกันนี้ ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบายว่า กฎหมายในปัจจุบันนี้ได้วางโทษตามขั้นตอนความร้ายแรงของการข่มขืนไว้อย่างชัดเจนแล้ว อย่างแรก คือการข่มขืนกระทำชำเรา มีโทษตั้งแต่ 4 ปีถึง 20 ปี แต่ถ้าการข่มขืนนั้นทำให้ผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตาย โทษก็วางไว้ตั้งแต่การจำคุกตลอดชีวิตจนถึงประหารชีวิตอยู่แล้ว ยืนยันไทยมีโทษประหารอยู่
“ฉะนั้นโทษตามกฎหมายประเทศไทยของเราที่วางไว้เขาเรียกว่า เป็นการวางโทษตามความร้ายแรงของการกระทำความผิด” ปลัดกระทรวงยุติธรรม ย้ำ
ส่วนกรณีกระแสสังคมเรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษและลงโทษประหารชีวิตผู้ก่อเหตุคดีข่มขืนในทันที จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้ทรรศนะอย่างน่าสนใจว่า ยังไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มโทษ เพียงแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน ถึงแม้โทษจะไม่มากนัก ถ้าความร้ายแรงไม่ถึงตายหรือบาดเจ็บสาหัส แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมคงคาดหวังไว้ว่า ในระหว่างที่ผู้ต้องโทษเหล่านั้นอยู่ในช่วงการคุมขัง คนเหล่านั้นได้รับการบำบัดฟื้นฟูมากน้อยเพียงใดเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่กลับมาก่อเหตุเดิมซ้ำอีก
ประเด็นนี้ เขายอมรับว่า เป็นภาระของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้การดูแลของกรมราชทัณฑ์และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ทั้งหมดเรายังต้องฟังเสียงของประชาชนอยู่เสมอ ว่าจะต้องทำทุกอย่างไม่ให้คนเหล่านี้พ้นโทษออกมาแล้วมาก่อเหตุทำผิดซ้ำซาก ส่วนตัวเชื่อว่าการก่อเหตุซ้ำนั้นมาจากความ “ผิดปกติทางจิต”
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ยังได้หยิบยกหลักวิชาการที่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดในคดีข่มขืนว่า ยกตัวอย่างเช่น “คนคนนี้อาจถูกกระทำความรุนแรงมาก่อนตั้งแต่สมัยเด็ก หรือถูกละเมิดทางเพศมาก่อน หรืออาจตกเป็นเหยื่อและถูกกระทำมาก่อน ทั้งหมดเป็นปัญหาปลายเหตุ ต้นเหตุคือสังคมที่ใช้ความรุนแรงกับคนที่กระทำความผิดนี้มาก่อน หรือคนที่ทำความผิดนี้เคยตกเป็นเหยื่อหรือถูกกระทำทางเพศมา จนกลายเป็นการฝังใจจน “ป่วยทางจิต”
สำหรับมาตรการต่างๆ ที่ใช้เกี่ยวกับการลดโทษ หรือการให้อภัยโทษมันคงต้องกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง คนที่ก่อเหตุคดีข่มขืน ถ้าจะให้อภัยเขา หรือลดโทษเขา จะต้องมีมาตรการมาเสริม เพื่อเป็นหลักประกันเมื่อพ้นโทษออกไป
ชาญเชาวน์ ได้ยกตัวอย่างการแก้ไขปัญหาคดีข่มขืนว่า อย่างประเทศเกาหลีมีการพัฒนาระบบสายข้อมือข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา ก็เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจว่าคนทำผิดฐานข่มขืน เมื่อพ้นโทษออกมาจะยังถูกจับตามองจากเจ้าหน้าที่โดยผ่านเครื่องข้อมือข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ นี่คือสิ่งที่ประเทศเกาหลีพัฒนาขึ้นมาได้เนื่องจากย้อนไป 10 ปีที่แล้ว มีคดีข่มขืนเป็นจำนวนมาก ประชาชนเกิดความหวาดกลัวไม่มั่นใจกระบวนการยุติธรรม จนนำไปสู่การพัฒนาข้อมือข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นต่อไปในอนาคตความผิดคดีข่มขืนเช่นนี้ต้องคิดมากขึ้น รวมถึงความผิดปกติทางจิตในคดีอื่นๆด้วย
ขณะที่ ชำนาญ จันทร์เรือง อดีตประธานกรรมการ แอมเนสตี้ฯ ที่คลุกคลีศึกษาเรื่องการประหารชีวิต ให้ความเห็นว่า ต้องยอมรับว่า ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเกี่ยวกับคดีการข่มขืน นำไปสู่การรณรงค์ให้ลงโทษประหารชีวิต ทั้งที่จริงแล้ว “โทษฆ่าข่มขืนก็คือการประหาร” ตามกฎหมายอาญาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ลุกลามคือเรียกร้อง ให้ผู้ข่มขืนแล้วต้องประหารทันที นั่นเป็นสิ่งอันตราย อาจนำไปสู่การฆ่าปิดปากเพิ่มขึ้นได้
อาจารย์ชำนาญ ยังกล่าวในฐานะนักสิทธิมนุษยชนว่า ไม่ว่าจะเป็นโทษใดก็ตามต้องแยกให้ออกว่า การประหารเป็นการลงโทษเพื่อแก้ไขเยียวยา หรือเป็นการแก้แค้นทดแทน จากการสำรวจสถิติทั่วโลกทางวิชาการพบว่า การมีโทษประหารไม่มีนัยสำคัญอะไรกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของตัวเลขอาชญากรรมร้ายแรง
“โทษประหารชีวิตเป็นโทษที่โหดร้ายทารุณ เป็นการกระทำระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน และกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นเป็นหลักประกันไม่ได้ว่าคนกระทำความผิดเป็นคนผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงเคยมีว่ามีการประหารคนผิดและไม่สามารถเยียวยาได้ และมีหลายคดีมีคนติดคุกหรือรอการประหารจำนวนมากเช่นกัน”
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เจ้าหน้าที่ต่้องบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และรวดเร็ว ไม่ใช่การจับไปประหารเพียงอย่างเดียว
อดีตประธานกรรมการแอมเนสตี้ฯ ยกตัวอย่างในต่างประเทศว่า ในประเทศนอร์เวย์ ผู้ต้องหายิงคนตาย 70 กว่าคน แต่ได้รับโทษสูงสุดเพียงจำคุก 21 ปี นั่นถือว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่เพียงพอแล้วและ
การประหารชีวิตไม่ทำให้สังคมได้อะไร
“ผมเชื่อว่าโทษประหารไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอาชญากรรม และในประเทศไทยมีโทษประหารจำนวนมากและรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะโทษคดียาเสพติด ทั้งที่จริงมันไม่ได้สัดส่วนของการทำความผิด และไทยเองมีโทษประหารถึง 55 ฐานความผิด และเชื่อว่าคนในสังคมยังอยากให้คงโทษประหารไว้ แต่รัฐก็ต้องค่อยๆ ลดฐานความผิดให้เหลือฐานความผิดที่จำเป็นจริงๆ จนนำไปสู่การไม่มีโทษประหาร ซึ่งบ้านเราไม่มีการประหารนักโทษมาตั้งแต่ปี 52 แล้ว” อาจารย์ชำนาญ กล่าวทิ้งท้าย


