วัดฝีมือรัฐบาลฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ความยากลำบากก็คือ ไทยพึ่งพาจีนเป็นตลาดส่งออกมาก ในขณะที่จีนเองก็มีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศและได้รับผลกระทบจากเศษฐกิจโลก
โดย...ทีมข่าวการเงินโพสต์ทูเดย์
แม้ตัวเลขเศรษฐกิจรวมในครึ่งปีแรกอาจจะยังไม่ดีนัก แต่หากพิจารณาเป็นรายเดือนจะเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ค.และ มิ.ย. รัฐบาลอาจจะใจชื้นที่เห็นเศรษฐกิจผงกหัวเพราะต้องงัดสารพัดมาตรการมากระตุกเศรษฐกิจ แต่ก็คงจะสบายใจได้ไม่นานเพราะเมื่อก้าวเข้าสู้ครึ่งปีหลัง ก็แทบไม่มีข่าวดีที่จะมาช่วยดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ง่ายๆ
ปัจจัยความผันผวนในประเทศ คือ การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค. 2559 และความไม่แน่นอนของโครงการลงทุนภาครัฐที่ประกาศจะลงนามในสัญญาก่อสร้างปีนี้ให้ได้ 7 โครงการ ซึ่งอาจทำไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด
ทางด้านต่างประเทศแทบไม่มีปัจจัยบวกมาหนุนเศรษฐกิจไทยเลย ไล่ตั้งแต่อังกฤษออกสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ที่อาจส่งผลรุนแรงกว่าที่คาด หากประเทศสมาชิกอียูอื่นจะทำประชามติออกจากอียูบ้าง เพราะจะทำให้ค่าเงินปั่นป่วนทั่วโลก เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน การค้าและการลงทุนหยุดชะงักลงชั่วคราว การขยายตัวเศรษฐกิจและการค้าโลกลดลง
ผลของเบร็กซิตยังอาจทำให้นักท่องเที่ยวอียูที่เป็นกลุ่มคุณภาพสำคัญอันดับ 3 ของไทยลดลง เพราะค่าเงินปอนด์และค่าเงินอียูที่อ่อนค่า ทำให้ค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวสูงขึ้น
นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในเดือน พ.ย. 2559 ก็ต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะมีผลต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกเช่นกัน อัตราดอกเบี้ยโลกที่เคยคาดกันว่าเป็นขาขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดับความร้อนแรงของเศรษฐกิจ แต่ผลจากเบร็กซิตทำให้เฟดเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยอีก
ด้านพี่ใหญ่อย่างจีน ก็ต้องจับตาดูการแก้ปัญหาหนี้เอกชนที่อยู่ในอัตราสูงมากอย่างไร รวมทั้งอัตราหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนของจีนจะเป็นอย่างไร หากการส่งออกหดตัวมากจนเกินไป
สำหรับมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่างญี่ปุ่นเอง ก็ยังเจอปัญหาเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวจะใช้นโยบายค่าเงินอ่อนค่าเพื่อช่วยการส่งออกก็ทำไม่ได้มากนัก
ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังทั้งสิ้น แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพเศรษฐกิจไทย ซึ่ง อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ยืนยันว่า ไทยมีภูมิต้านทานเศรษฐกิจดีมาก ทั้งทางด้านฐานะการเงินการคลังของประเทศและสถาบันการเงินของไทยก็แข็งแรง มีเงินกองทุนและการสำรองหนี้สูงมากกว่ากฎหมายกำหนด
แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก และเมื่อรวมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แล้วน่าจะขยายตัวได้ 3.1% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่โตต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่ง ธปท.ประเมินเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันควรจะขยายตัวได้ถึง 3.5% แต่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ฉุดให้เศรษฐกิจไทยโตได้เท่านี้
“ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศมันยากขึ้น มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบที่จะต่อเนื่องจากเบร็กซิตที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ซึ่ง ธปท.ยังอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดให้รอบด้าน” จาตุรงค์ กล่าว
อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง คือ ปัญหาที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าที่คาด อาจเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ปัจจัยเสี่ยงที่กดดันการบริโภคภายในประเทศ ประกอบด้วย 1.ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แม้ในไตรมาสแรกตัวเลขหนี้ครัวเรือนจะปรับลดลงเล็กน้อย แต่ในช่วงที่เหลือยังมีโอกาสสูงขึ้นจากสินเชื่อที่ยังเติบโต 2.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และ 3.ปัญหาภัยแล้งที่มีโอกาสลากยาวจนสิ้นไตรมาส 3 ซึ่ง 3 ปัจจัยดังกล่าวกระทบกำลังซื้อประชาชนระดับฐานราก และ 4.ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จากสภาพเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน รวมทั้งเสถียรภาพการเมืองในอนาคต
นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญความเสี่ยงการลงทุนภาคเอกชนหดตัวเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แม้ไตรมาสแรกการลงทุนภาคเอกชนจะเติบโตได้ 2% แต่ก็กลับมาทรงตัวในไตรมาส 2 โดยแนวโน้มในครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงเห็นสัญญาณการนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบหดตัว กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะนักลงทุนต่างชาติยังรอดูสถานการณ์ ขณะที่การลงทุนภาครัฐล่าช้ากว่าแผน
แม้ขณะนี้ประเทศไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงหากเศรษฐกิจซึมยาวเป็นแอลเชพ (L Shape) เป็นเวลานาน อาจจะกระทบกับปัจจัยพื้นฐานได้ ยิ่งการลงทุนหดตัวนาน ทำให้ไม่เกิดการพัฒนานวัตกรรมเมื่อถึงเวลาที่โลกฟื้น ไทยอาจเติบโตได้ไม่ทันกับประเทศอื่น
ถึงจะมีแต่ปัจจับลบมากมายไปหมด แต่ก็ไม่ได้น่าตกใจเพราะเกือบ 20 ปีที่ไทยเผชิญวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ได้เกิดการเรียนรู้ที่จะป้องกันและเอาตัวรอดจากผลกระทบของเศรษฐกิจ โดยมีการปฏิรูประบบกฎหมายการเงิน และการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ใหม่ทั้งหมด รวมทั้งการใช้มาตรการที่เข้มงวดของ ธปท.ในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ทำให้ไทยได้ผ่านมรสุมเศรษฐกิจโลกแรงๆ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง
ในปี 2551 ธนาคารเลห์แมน บราเธอร์ ประกาศล้มละลาย ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกซวนเซ เพราะไม่สามารถชำระหนี้ได้ มีผู้ถือตราสารการเงินของเลห์แมนทั่วโลก ซึ่งล้วนเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ และสถาบันการเงินประสบปัญหาหนี้เสีย ส่งผลกระทบเป็นโดมิโนทั้งโลก ประชาชนขาดความเชื่อมั่นแห่ถอนเงินจากประกันและธนาคารพาณิชย์ ถึงขั้นรัฐบาลหลายประเทศล้มไป เศรษฐกิจสหรัฐประสบปัญหาเดียวกับไทยช่วงที่ประสบกับวิกฤตต้มย้ำกุ้งในปี 2540
แต่ในช่วงวิกฤตเลห์แมนและต่อเนื่องมาเป็นวิกฤตซับไพรม์ เป็นโชคดีของประเทศไทยที่ ธปท.ยังควบคุมการซื้อพันธบัตรต่างประเทศของธนาคารไทย ทำให้มีสถาบันการเงินเสียหายไม่มากนัก เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย จึงเกิดการปรับโครงสร้างการส่งออก ที่เคยส่งไปสหรัฐมากก็กระจายไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนและอาเซียน ทำให้ไทยได้รับผลกระทบในด้านการส่งออกที่ชะลอตัว แต่รัฐบาลในช่วงนั้นก็เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายในประเทศขึ้นมาแทนการส่งออก และธนาคารพาณิชย์ก็ชะลอการปล่อยสินเชื่อในภาคธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบสูง
ต่อมาในปี 2556 ก็เกิดวิกฤตหนี้ในอียูเนื่องจากกรีซ ซึ่งเป็นสมาชิกที่กู้เงินจากประเทศในอียูมากถึง 1.35 แสนล้านยูโร ได้ประกาศพักชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้ทั้งหมด วิกฤตหนี้ในกรีซพ่นพิษไปถึงสถาบันการเงินในยุโรปซึ่งถือตราสารหนี้ของกรีซทุกแห่ง แม้ว่าการผิดนัดชำระหนี้ในทางเทคนิคของกรีซจะไม่แรงเหมือนคราวเลห์แมน บราเธอร์ล้มละลาย แต่ก็สร้างความเสียหายต่อตลาดเงิน ตลาดทุนและเศรษฐกิจของอียูไม่แพ้กัน
ในวิกฤตกรีซ ไทยก็ยังได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะไม่ได้ซื้อพันธบัตรของกรีซ ส่วนสถาบันการเงินอื่นในยุโรปที่ได้ซื้อสินทรัพย์ไว้ก็ไม่ได้รับความเสียหายในทันที แและไทยยังพึ่งพาตลาดส่งออกหลักคือจีน
อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ดูแล้วมีแนวโน้มจะเกิดวิกฤตรอบใหม่ เพียงแต่คาดเดาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ และมีความพยายามประคองให้ความรุนแรงของวิกฤตที่จะเกิดมีน้อยที่สุด
รัฐบาล คสช.เองก็ใช้นโยบายไม่แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านวิกฤตมาก่อน ที่หวังพึ่งพาตัวเอง อาศัยการบริโภคและการลงทุนในประเทศดันเศรษฐกิจ เพื่อรักษาระดับการจ้างงานไว้ และพยายามใช้เงินให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงความพยายามเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
แต่ความยากลำบากก็คือ ไทยพึ่งพาจีนเป็นตลาดส่งออกมาก ในขณะที่จีนเองก็มีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศและได้รับผลกระทบจากเศษฐกิจโลก ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกอาจจะต้องทนลำบากไปสักพักจนกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ขณะนี้อนาคตเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับตัวเราเอง หากรัฐบาลใช้นโยบายไปถูกทาง ประเทศก็จะรอดจากเศรษฐกิจถดถอยไปได้


