ทบทวนนโยบายปราบยา เอาผู้เสพเข้าคุกยิ่งสร้างอาชญากร
ที่ประชุมสมัยพิเศษของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเรื่องยาเสพติด (UNGASS) ปี 2016 ณ สหรัฐอเมริกา ประเทศไทยได้เรียกร้องให้กำหนดโทษยาเสพติดอย่างมีสัดส่วน และให้หามาตรการอื่นแทนการจำคุกผู้เสพ
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
ที่ประชุมสมัยพิเศษของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเรื่องยาเสพติด (UNGASS) ปี 2016 ณ สหรัฐอเมริกา ประเทศไทยได้เรียกร้องให้กำหนดโทษยาเสพติดอย่างมีสัดส่วน และให้หามาตรการอื่นแทนการจำคุกผู้เสพ
นั่นคือความก้าวหน้าของประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก
“การมองยาบ้าเป็นเรื่องอาชญากรรม เป็นสิ่งที่ต้องมาทบทวน” คือทัศนะของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ซึ่งมองยาเสพติดผ่านแว่นทางการแพทย์ โดยมอง “ผู้เสพ” ว่าเป็นผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู
“แอมเฟตามีน” หรือที่รู้จักกันว่าเป็นสารตั้งต้นของ “ยาบ้า” นั้น ปัจจุบันมีการกำหนดโทษไว้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะ “ผู้เสพ” ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 1 แสนบาท
“วันนี้โลกมองยาเสพติดเป็นเรื่องของสาธารณสุข เป็นเรื่องของสุขภาพและการเข้าถึงยา มองว่าคนเสพเป็นผู้ป่วย เป็นโรคหนึ่งที่ต้องได้รับการบำบัดเยียวยาจนหายขาด” พล.อ.ไพบูลย์ ระบุชัดเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา
แนวคิดของ พล.อ.ไพบูลย์ สอดคล้องกับผลการวิจัยหลากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งยืนยันตรงกันว่า ปัญหาอาชญากรรมจะลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าสามารถแยกผู้เสพออกจากผู้ผลิตได้อย่างสำเร็จ
พล.อ.ไพบูลย์ อธิบายว่า องค์ประกอบของยาเสพติด อาทิ พืชโคคา ฝิ่น ก็เป็นองค์ประกอบของยารักษาโรคเช่นกัน เราจึงต้องปลูก ต้องมี และไม่สามารถตัดต้นตอของส่วนผสมยาเสพติดเหล่านี้ได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปราบปรามให้หมด
ที่สำคัญคือมีงานวิชาการรองรับว่านโยบายประกาศสงครามกับยาเสพติดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้นจึงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้อยู่กับยาเสพติดได้อย่างเหมาะสมโดยไม่เป็นภัยต่อสังคม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแก้กฎหมายอยู่
“ผลร้ายของยาบ้ามันไม่ได้มากไปกว่าสารอย่างอื่นที่เราใช้อย่างปกติ เราต้องมาพูดกันในหลักวิชาการว่าแต่ละคนคิดอย่างไร สำหรับผมพร้อมที่จะปรับยาบ้าให้เป็นเรื่องปกติ” รมว.ยุติธรรม แสดงจุดยืนชัดเจน
นพ.วิโรจน์ วีรชัย ผู้อำนวยการสถาบันธัญญารักษ์ ให้ภาพว่า ข้อมูลสถิติทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าผู้เสพยาบ้าเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นก็จะเลิกไปเอง จะมีกลุ่มที่ติดจริงๆ เพียง 20-30% เท่านั้น และพบผู้ที่ติดไปจนอายุเกิน 40 ปี ไม่ถึง 10%
“ผู้เสพยาบ้าส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงของวัยรุ่น ซึ่งสุดท้ายก็จะเลิกไปเอง ปัญหาคือเรายังมีโทษจำคุกผู้เสพ ผลักผู้เสพให้ไปอยู่ร่วมกับผู้ผลิตและผู้จำหน่าย
“เมื่อผู้เสพซึ่งเป็นวัยรุ่นเข้าไปเจอบรรยากาศในคุก เขาอาจกลายเป็นคนไม่ดีไปจริงๆ อาจมีการสร้างเครือข่าย ซึ่งทุกวันนี้เราผลักผู้เสพเข้าไปในคุกปีละเป็นล้านๆ คน” นพ.วิโรจน์ กล่าว
นพ.วิโรจน์ เสนอว่า ในส่วนของผู้ผลิตและผู้จำหน่ายจำเป็นต้องมีมาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้นและกำหนดโทษให้รุนแรง แต่ในส่วนของผู้เสพนั้นควรมองว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุข คือเป็นเรื่องของการเจ็บป่วย
“การย้ายยาบ้าจากบัญชียาเสพติดให้โทษไปอยู่ในบัญชีวัตถุอันตรายออกฤทธิ์อาจไม่เกิดประโยชน์หากยังมีโทษจำคุกผู้เสพอยู่ เพราะจะเอาเขาเหล่านั้นเข้าไปสร้างเป็นอาชญากร ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ได้ผลทั่วโลกก็คือ ต้องแยกผู้เสพออกมาให้ได้ ต้องรักษาเขาเพื่อให้เขาอยู่ในสังคมได้” ผู้อำนวยการสถาบันธัญญารักษ์ ระบุ
เช่นเดียวกับ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข (สธ.) ซึ่งมั่นใจว่าการมองผู้เสพเป็นผู้ป่วยที่ต้องให้การรักษามากกว่ามองเป็นอาชญากรนั้น จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีโรงพยาบาลรองรับผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดกว่า 800 แห่ง โดยในปี 2558 มีผู้เข้ารับการบำบัดทั้งสิ้น 2.2 แสนราย


