posttoday

2 ปี คสช.เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า กดทับชาวบ้าน-ทหารหนุนนายทุน

23 พฤษภาคม 2559

หลังรัฐประหารที่คนชั้นกลางอาจมีความสุขแต่คนชนบทเดือดร้อนแสนสาหัส ชาวบ้านอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและยังถูกปิดล้อมข้อมูลข่าวสาร

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

เป็นความจริงที่ว่าระยะเวลา 2 ปี ในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้กุมบังเหียน มีคนจำนวนมากหลงใหลได้ปลื้ม โดยเฉพาะชาวกรุงเทพมหานคร (กทม.) และคนชั้นกลางที่ให้น้ำหนักกับความสงบมากกว่าเสรีภาพที่ถูกพรากจากไป

ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่มีการก่อรัฐประหารเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 22 พ.ค. 2557 เกิดความเดือดร้อนขึ้นในชนบททั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะจากโครงการพัฒนาภายใต้นโยบายแห่งรัฐซึ่งเกี่ยวพันกับการช่วงชิงและครอบครองฐานทรัพยากรดั่งเดิมของชุมชน

แม้ว่า “ความจริง” จะมีเพียงหนึ่ง แต่มุมมองต่อความจริงได้ถูกแบ่งออกเป็นสองชนิดที่ไม่มีทางบรรจบ-ไม่มีวันปรองดอง

“ที่ผ่านมาปัญหาคนชนบทไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง โดยเฉพาะหลังรัฐประหารที่คนชั้นกลางอาจมีความสุขแต่คนชนบทเดือดร้อนแสนสาหัส ชาวบ้านอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและยังถูกปิดล้อมข้อมูลข่าวสารอย่างรุนแรง” คือภาพสะท้อนจาก ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งคลุกคลีกับปัญหาคนเล็กคนน้อยมาโดยตลอด

หลากหลายนโยบายที่ถูกรัฐบาลทหารเข็นออกมา ไม่ว่าจะเป็นทวงคืนผืนป่า เขตเศรษฐกิจพิเศษ แผนพัฒนาภาคใต้ ท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้าถ่านหิน ขุดเจาะสำรวจก๊าซ สัมปทานปิโตรเลียม ฯลฯ ชัดเจนว่าล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อการลงทุน-ตัวเลขทางเศรษฐกิจ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านแทบทั้งสิ้น

2 ปี คสช.เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า กดทับชาวบ้าน-ทหารหนุนนายทุน นิวัฒน์ ร้อยแก้ว

“ที่ผ่านมาการพัฒนาเศรษฐกิจมักคิดถึงแต่เพียงจะทำอย่างไรให้เกิดความเจริญ ให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้น แต่มันไม่ใช่ การมองแต่ภาพใหญ่ทำให้สิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาไปทำร้ายทำลายอะไรต่างๆ มากมาย” นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ปราชญ์ชาวบ้าน ในนามกลุ่มรักษ์เชียงของวิพากษ์

นิวัฒน์ บอกว่า จนถึงปัจจุบันก็ยังเกิดวาทกรรมที่ให้คนเล็กคนน้อยช่วยกันเสียสละเพื่อ “คนส่วนใหญ่” ทั้งๆ ที่โครงการต่างๆ ในรอบ 40-50 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้คนเล็กคนน้อยเจ็บปวดมาตลอด และคนที่เจ็บปวดเหล่านั้นก็มีจำนวนมากกว่ากลุ่มคนที่ถูกอ้างว่าเป็น “คนส่วนใหญ่” ของประเทศนี้ด้วยซ้ำ

แน่นอนว่า “รัฐบาลคืนความสุข” ก็อยู่ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเดียวกันนี้

นอกจากวิธีคิดและการดำเนินนโยบายซึ่งไม่แตกต่างอะไรไปจากรัฐบาลก่อน แล้วดูเหมือนว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์จะเลวร้ายลงกว่าเดิม เนื่องด้วยรัฐบาล คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จ และได้ใช้อำนาจนั้นเอื้อประโยชน์ต่อการผลักดันโครงการพัฒนาต่างๆ

เริ่มตั้งแต่การจำกัดการเคลื่อนไหวคัดค้านของประชาชนด้วยการใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยุค คสช. การสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวด้วยการ “ปรับทัศนคติ” แกนนำชาวบ้านที่เห็นต่าง หรืออีกหลายกรณีที่บ่งชี้ว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ “กลุ่มทุน”

ไม่ว่าจะเป็นการจัดกำลังทหารคุ้มครองบริษัทเอกชนที่เข้าไปขุดเจาะสำรวจก๊าซในพื้นที่ประชิดชุมชน นามูล-ดูนสาด จ.ขอนแก่น จนเกิดมลพิษในอากาศและเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านล้มป่วย การอนุมัติกำลังทหารเพื่อคุ้มกันพนักงานของบริษัทเอกชนให้ง่ายต่อการไล่รื้อชุมชนชาวเลราไวย์ จ.ภูเก็ต จนเกิดการปะทะเสียเลือดเสียเนื้อ

การส่งกำลังทหารปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากชาวสวนชาวไร่ที่อยู่กินมาก่อนจะมีกฎหมายประกาศพื้นที่อนุรักษ์ ส่งผลให้หลายชีวิตบ้านแตกสาแหรกขาด เช่นเดียวกับชะตากรรมของชุมชนโนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งถูกทหารไล่รื้อไม่ต่ำกว่า 3 รอบ กระทั่งหนีมาอยู่ในวัดก็ยังถูกตามไล่อีก

การใช้กำลังทหารควบคุมเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ โดยบังคับให้ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดถอดเสื้อแสดงจุดยืนคัดค้าน พร้อมทั้งประกาศท่าทีแข็งกร้าวเพื่อจำกัดการแสดงความคิดเห็น การปรับทัศนคติ 3 แกนนำคัดค้านเหมือง จ.เพชรบูรณ์ และอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นกับเวทีรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)

ไม่เพียงการใช้อำนาจย่ำยีคนตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น หากแต่นโยบายหลายนโยบายก็ “ทำร้ายทำลาย” วิถีชีวิตและวิถีชุมชนชนิดที่สุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลาย

ทั้งการผลักดันนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งส่งผลให้ชาวแม่สอด จ.ตาก ต้องสูญเสียที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน หรือความพยายามจะเพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสาธารณประโยชน์เลี้ยงสัตว์ ป่าชุมชนบุญเรือง อ.เชียงของ จ.เชียงราย อายุ 200-300 ปี จำนวน 3,012 ไร่ เพื่อรองรับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม การออกกฎหมายควบคุมประมงโดยไม่มีเข้าใจวิถี “ประมงพื้นบ้าน” ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นการใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.หลายฉบับ อำนวยความสะดวกให้โครงการพัฒนาโดยไม่แยแสว่าได้ทำลายล้างหลักการ “การมีส่วนร่วม” ของประชาชนที่ก่อร่างสร้างตัวมาอย่างยาวนาน

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คือ คำสั่งที่ 4/2559 เรื่อง ยกเว้นบังคับใช้กฎหมาย “ผังเมืองรวม” ในกิจการบางประเภท ส่งผลให้สามารถสร้างโรงไฟฟ้า โรงผลิตก๊าซซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติส่งหรือจำหน่ายก๊าซ โรงงานปรับปรุงคุณภาพของรวม (โรงบำบัดน้ำเสีย/เตาเผาขยะ) โรงงานคัดแยกและฝังกลบ และโรงงานเพื่อการรีไซเคิล ในพื้นที่ใดก็ได้

“เขาปลดล็อกในบางเรื่องเพื่อให้มันทำได้ เพราะผังเมืองเดิมมันมีการแบ่งโซนสีเขียว สีเหลือง บางที่มันทำอุตสาหกรรมไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำอุตสาหกรรม ตรงนั้นมันก็ไม่มีที่ทางให้ทำ แต่จะทำได้หรือไม่ได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณารายงานอีไอเอ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยอมรับว่าออกคำสั่งเพื่ออุตสาหกรรม

อีกคำสั่งที่ทำให้ชาวบ้านรวมถึงภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมหวาดวิตก นั่นก็คือ คำสั่งที่ 9/2559 ซึ่งมีสาระสำคัญคือให้อำนาจส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่รับผิดชอบโครงการหรือกิจการที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาอีไอเอ สามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติให้ดำเนินโครงการไปพลางก่อนได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนผู้รับดําเนินการ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้นั้นไม่ได้

“ผมคิดว่าเขาออกคำสั่งมาเพื่อผลักดันโครงการ เช่น เขื่อนแม่วงก์ รวมถึงเขื่อนอื่นๆ และท่าเรือน้ำลึกต่างๆ เช่น ชุมพร หรือปากบารา รวมทั้งรถไฟความเร็วปานกลาง” เดชรัต สุขกำเนิด หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์ เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ เชื่อเช่นนั้น

2 ปี คสช.เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า กดทับชาวบ้าน-ทหารหนุนนายทุน เดชรัต สุขกำเนิด

ภาพที่เกิดขึ้นในห้วงเวลา 2 ปีของ คสช.สามารถฉายผ่านบทความ เรื่อง “คสช.รัฐประหารครั้งเลวร้ายสุดๆ ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้สึก” ของ ประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ได้อย่างถึงแก่นและตรงไปตรงมา

ประสิทธิชัย วิพากษ์ตอนหนึ่งว่า เป้าหมายสูงสุดของ คสช.ยังคงเป็นเรื่องผลประโยชน์ ที่ไม่สามารถสืบทราบได้ว่าใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ แต่สังเกตจากมาตรา 44 ที่ออกมาล้วนเอื้อให้เกิดโครงการขนาดใหญ่ที่กลุ่มทุนได้ประโยชน์ โดยไม่สนใจมิติสิ่งแวดล้อมและชีวิตมนุษย์ ตรงนี้เป็นความเหนือชั้นอีกขั้นหนึ่ง เพราะกระทำภายใต้วาทกรรมการพัฒนาที่สังคมส่วนใหญ่ซื้ออยู่แล้วโดยไม่ตั้งคำถามว่าวันข้างหน้าประเทศจะฉิบหายยังไง

“ทั้งหมดนี้เดิมพันด้วยความตกต่ำขนานใหญ่ของประเทศ เดิมพันด้วยหายนะด้านสิ่งแวดล้อม เดิมพันด้วยการสูญเสียเสรีภาพความเป็นมนุษย์ของคนไทย ประเทศไทยกลายเป็นของเล่นอีกครั้ง ในขณะที่พม่ากำลังก้าวหน้าอย่างน่าใจหาย...”

“...รู้ไหมครับ ทหารทำแบบนี้ได้เพราะอะไร? เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังหลับหูหลับตาเชียร์ โดยมีฐานมวลชน กปปส.เป็นบันไดให้ คสช.ปีนขึ้นมา ซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้น และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ...หวังว่าคนไทยจะตื่นทันเวลา” ตอนท้ายของบทความ ระบุ

ภาวนาให้คนไทยตื่นทันเวลา ก่อนจะต้องหลับใหลไปชั่วกาล

เพียงเพราะติดกับดักวาทกรรม “ขอคืนความสุขให้เธอ...ประชาชน”

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา