จับไต๋รัฐ...ไม่ยกเลิกซิงเกิ้ลเกตเวย์ สลับร่างใหม่เดินหน้าต่อ
ที่น่ากังวลมากกว่าคือการเดินหน้าทำด้วยการผลักให้เป็นเรื่อง "ลับ" โดยตีตราว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคงไม่ต้องออกเป็นกฎหมายปกติ
โดย...สุภชาติ เล็บนาค
ซิงเกิ้ลเกตเวย์ไม่ใช่แนวคิดแรกที่รัฐพยายามเข้ามา “ควบคุม” เนื้อหาในสังคมออนไลน์ซึ่งถูกมองว่าเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงรัฐบาลมาทุกยุคสมัย แต่ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลหลายยุคต่างก็ทำในรูปแบบที่แตกต่างกัน
สฤณี อาชวานันทกุล ประธานมูลนิธิเพื่ออินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรมพลเมือง บอกว่า ไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ชุดเดียวที่มีความพยายามจะดักตรวจสอบข้อมูลการใช้สื่อออนไลน์ เพราะในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีความพยายามในการติดตั้ง “สนิฟเฟอร์” เพื่อดักจับข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ต
“แต่รัฐบาลชุดนี้ถือว่าชัดเจนที่สุด เพราะมีเอกสารหลายชุดเป็นหลักฐานชัดเจนว่า ตั้งแต่หลังช่วงรัฐประหารใหม่ๆ มีการออกคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานควบคุมการเข้าระบบ การถอดรหัสการสื่อสารตั้งแต่เดือน ก.ค. 2557 หลังจากนั้นในเดือน ธ.ค. 2557 ก็มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานทดสอบระบบเฝ้าติดตามสื่อออนไลน์ ฉะนั้นคิดว่าเขาคงไม่ได้แค่ศึกษาและการทำซิงเกิ้ลเกตเวย์คงไม่ได้ยกเลิกง่ายๆ”
สฤณี บอกอีกว่า ที่ผ่านมามีคำสั่งด้วยวาจาไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) หลายราย โดยผู้บริหารได้ออกมาเปิดเผยว่าได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ติดตั้งอุปกรณ์ถอดรหัส แต่ยังติดปัญหาเรื่องกฎหมาย เพราะต้องขอหมายศาลตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
“การทำซิงเกิ้ลเกตเวย์จะทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องขอหมายศาลอีกต่อไป เพราะเพียงแค่ดักที่เกตเวย์ก็สามารถตรวจสอบได้แล้ว” สฤณี ระบุ
ทั้งนี้ ปกติถ้าให้ ISP ถอดรหัสการใช้งานจะมีการตั้งคำถามจาก ISP ว่าเป็นคำสั่งตามคำสั่งหรือกฎหมายอะไร ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งสนิฟเฟอร์ หรือการถอดรหัสอื่นๆ ล้วนต้องขอหมายศาลตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่หากมีซิงเกิ้ลเกตเวย์ก็ง่ายเพราะไม่ต้องขอ เขาสามารถตรวจสอบการใช้งานได้ทันที”
สำหรับกระแสต้านขณะนี้ แม้จะมากกว่าที่คิดแต่ก็เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะยังทำอยู่และก็ยังมีความพยายามโดยรัฐบาลในการสื่อสารว่า ซิงเกิ้ลเกตเวย์เป็นเรื่องจำเป็นและเป็นประโยชน์ผ่านสื่อของรัฐอย่างช่อง 11
“ขณะนี้ที่น่ากังวลมากกว่าคือการเดินหน้าทำด้วยการผลักให้เป็นเรื่อง ‘ลับ’ โดยตีตราว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคงไม่ต้องออกเป็นกฎหมายปกติ ซึ่งถ้าจะทำก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งประชาชน ส่วนที่บอกว่ากำลัง ‘ศึกษา’ นั้นเชื่อว่าไม่จริง น่าจะเป็นการชะลอเสียงคัดค้านมากกว่า” สฤณี ระบุ
นอกจากนี้ สฤณี ยังเรียกร้องให้ไอเอสพีให้ความรู้กับผู้บริโภค และต้องทำหน้าที่รักษาความเป็นส่วนตัว คุ้มครองข้อมูล มากกว่าจะเอาข้อมูลไปให้รัฐ
“คือรัฐอาจจะเดินด้วยวิธีอื่น เช่น 1.พยายามเดินต่อแบบลับๆ แต่วิธีปัจจุบันนั้นไม่ง่าย และการจะทำลับๆ ก็ไม่ง่าย เพราะต้องมีระบบรับรองมหาศาลมาก แต่ก็อย่าประมาท หรือ 2.ไม่ทำซิงเกิ้ลเกตเวย์ไปดูเรื่องสนิฟเฟอร์แทน รวมถึงขอความร่วมมือจากเว็บต่างประเทศในการสอดแนมเหมือนที่เคยทำมาแล้ว ซึ่งคนไทยก็ยังต้องระวังตัวต่อไป” สฤณี ระบุ
ด้าน ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า ระบบอินเทอร์เน็ตถูกพัฒนาขึ้นในยุคสงครามเย็น เพื่อส่งข้อมูลกระจายไปเก็บในเซิร์ฟเวอร์หลายแห่ง ในกรณีที่หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ ข้อมูลจะได้ไม่หายไปทั้งหมด หากโดนโจมตี เพราะฉะนั้นอินเทอร์เน็ต จึงตั้งอยู่บนฐานคิดที่ว่าต้องกระจายความเสี่ยงออกไปหลายเกตเวย์มากกว่าจะอยู่ภายใต้เกตเวย์เดียวอย่างที่รัฐบาลอยากให้เกิด
“ถ้าเป็นหลายเกตเวย์ สมมติหากล่มอันหนึ่ง เซิร์ฟเวอร์ที่เหลือก็จะยังสามารถทำงานได้ แต่ถ้าเป็นซิงเกิ้ลเกตเวย์ เมื่อใส่ตัวกรอง ตัวดัก ก็จะสามารถบล็อกเว็บได้ที่ปากประตูเดียวทันที รัฐคงคิดว่ามันคุมง่ายกว่าต้องไปดักหลายปากประตูแงะ หากเกิดปัญหาแฮ็กเกอร์โจมตี รวมพลังกันทุบที่จุดเดียว ระบบอินเทอร์เน็ตก็จะล่มทั้งประเทศทั้งหมด”
ทศพล บอกอีกว่า ระบบซิงเกิ้ลเกตเวย์ในประเทศใหญ่ที่ใช้แล้วพออยู่ได้ก็คือ จีน ที่มี “กองกำลังนักรบไซเบอร์” ใหญ่ที่สุดในโลกจำนวนมหาศาล แต่ถามว่าไทยมีหรือไม่ เพราะขนาดรุมกด F5 พร้อมกันเว็บรัฐยังล่มเกือบทั้งหมด
“ส่วนเกาหลีเหนือยังใช้ซิงเกิ้ลเกตเวย์ เพราะปิดประเทศมานานแล้ว ไม่มีผลกระทบกับกิจกรรมของคนทั่วไป” ทศพล ระบุ
ขณะที่ผลกระทบกับการส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น ทศพล บอกว่า การทำซิงเกิ้ลเกตเวย์ถือว่าขัดกันชัดเจน ผู้ประกอบการที่มีเว็บ หรือใช้เว็บเป็นหลักจะมีความเสี่ยงกับ “เว็บดำ” มากขึ้น ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็จะกังวลในแง่การถูกดักข้อมูล รวมถึงความมั่นใจผู้บริโภคในแง่ “ความเชื่อมั่น” การทำธุรกรรมในโลกออนไลน์ เพราะจะรู้สึกถูกจับจ้องตลอดเวลา
“ในแง่เสรีภาพก็เสี่ยงต่อการถูกดักปิดเว็บที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างแดนด้วย จากแต่ก่อนรัฐขอความร่วมมือไปเขาไม่ให้ เพราะไม่ได้อยู่ใต้อำนาจกฎหมายรัฐ ทีนี้ก็มาดักปิดที่เกตเวย์แทนเลย”
เขาบอกว่า สิ่งที่จะเกิดคือจะเริ่มมีบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตออกมาแสดงตัวว่าไม่ได้อยู่ในซิงเกิ้ลเกตเวย์ หรือให้ความร่วมมือกับรัฐผ่านโปรแกรมสนิฟเฟอร์ เพราะลูกค้าจะสูญเสียความมั่นใจในความเป็นส่วนตัวและสิทธิเสรีภาพของตัวเอง ส่วนเน็ตรัฐ เช่น กสท. หรือทีโอที ก็อาจเสียความสามารถในการแข่งขันไป เพราะผู้บริโภคจะไม่เชื่อใจอีกแล้ว