posttoday

บึ้มป่วนเมือง บูเมอแรงย้อน คสช.

12 มิถุนายน 2560

แรงกดดันที่เกิดขึ้นจึงแปรสภาพเป็น “บูเมอแรง” ย้อนกลับมาทำลายความเชื่อมั่นต่อกองทัพและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ความคืบหน้ากรณีตรวจพบการส่งวัตถุระเบิดทางไปรษณีย์ไปหลายจุดทั่วประเทศนั้น​ ล่าสุด ศาลอนุมัติหมายจับ ​7 ผู้ต้องหา ข้อหาจำหน่ายวัตถุระเบิด และจัดซื้อวัตถุระเบิด มีอาวุธปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้โดยผิดกฎหมาย ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้อง

ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ผู้ต้องหารับสารภาพถึงที่มาของอาวุธสงครามทั้งหมด ได้ลักลอบนำมาจากหน่วยงานเพื่อนำไปจำหน่าย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) จากผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 20 ราย

ภายหลังการตรวจสอบมีผู้เกี่ยวข้อง 14 ราย เป็นทหาร 7 ราย ประกอบด้วยผู้ขาย 3 ราย และผู้ซื้อ 4 ราย อีก 7 รายเป็นพลเรือน ในส่วนของทหาร ทาง​กองทัพภาคที่ 1 จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยเพื่อดำเนินการลงโทษตามระเบียบ

ทั้งนี้ คงต้องติดตามดูว่าจะมีการเอาผิดถึงเจ้าหน้าที่ระดับใด จะถึงระดับผู้บังคับหน่วยซึ่งมีความบกพร่องกับการปล่อยให้มีการนำอาวุธภายในคลังออกมาจำหน่ายจนเป็นขบวนการหรือไม่

น่าตกใจกว่านั้นคือ ทหารกลุ่มนี้จำหน่ายอาวุธสงครามทางเว็บไซต์และใช้บริการของเอกชนส่งของเกือบ 1 ปี โดยขายมาแล้ว 22 ครั้ง จำนวนอาวุธกระสุนที่ส่งมากที่สุด 100 นัด ที่เหลือเป็นรายย่อย มีทั้งกลุ่มที่ชอบสะสมอาวุธ กลุ่มทหารที่มีการสั่งซื้อเพื่อไปทดแทนอัตราอาวุธที่หายไปจากหน่วยที่ตนเองสังกัดในช่วงวงรอบการตรวจประจำปี

​อีกทั้งบางส่วนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำไปใช้ก่อเหตุในหลายพื้นที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ส่วนความคืบหน้ากรณีตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากในรถกระบะสีดำ หมายเลขทะเบียนตรากงจักร 1510 ที่เสียหลักตกข้างทางถนนสุขุมวิท จ.ตราด ล่าสุด พ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ยอมรับว่าขนอาวุธสงครามมาจากนายทหารกัมพูชาระดับนายพันที่นำมาให้แล้วจะนำไปส่งที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อขายให้กับกะเหรี่ยงเคเอ็นยู โดยทำมาแล้ว 2-3 ครั้งในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งสองเหตุการณ์ยิ่งตอกย้ำให้เห็นปัญหาความหละหลวมในสถานการณ์ปัจจุบันกับการปล่อยให้เกิดการซื้อขายอาวุธสงครามทั้งในและนอกประเทศ ที่ทำกันมายาวนานและเป็นขบวนการ

ที่สำคัญขบวนการค้าอาวุธนั้นมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งในฐานะผู้ซื้อและผู้ขาย

แรงกดดันที่เกิดขึ้นจึงแปรสภาพเป็น “บูเมอแรง” ย้อนกลับมาทำลายความเชื่อมั่นต่อกองทัพและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างรุนแรง

ประการแรก หลังเกิดระเบิด เหตุรุนแรง เหตุวุ่นวายหลายครั้งก่อนหน้านี้ ทางเจ้าหน้าที่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นความพยายามของกลุ่มผู้ไม่หวังดีเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มการเมือง

พร้อมกับการสืบสวนสอบสวนขยายผลเข้าไปตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยในหลายจุดทั่วประเทศ ในช่วงที่มีกระแสข่าวเรื่องแผนลอบสังหารผู้นำ

นำมาสู่ข้อสงสัยว่าในยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในมือ คสช. ทำไมถึงปล่อยปละให้อาวุธสงครามออกมาเกลื่อนกลาดจนเหมือนไร้การควบคุมดูแล

ยิ่งสุดท้ายพบว่า​ต้นทางอาวุธสงครามที่หลุดลอดออกมานั้นมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง และบางส่วนยังหลุดออกมาจากหน่วยราชการด้วยแล้ว ​ประเด็นนี้ยิ่งส่งผลเสียต่อกองทัพอย่างรุนแรง ที่หละหลวมไม่อาจควบคุมดูแลกันเองปล่อยให้อาวุธร้ายแรงหลุดออกมา

รวมไปถึงมาตรการควบคุมอันหละหลวมปล่อยปละให้มีอาวุธสงครามหลุดลอดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศได้อย่างสะดวก ​เลวร้ายกว่านั้นกลไกการลักลอบนำเข้ายังมีทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง และยังพบความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศที่ทำกันมานาน

ทำให้เห็นเค้าลางคำตอบถึงที่มาที่ไปของอาวุธสงครามที่เกลื่อนกลาดในเวลานี้

อันอาจจะถูกหยิบยกเป็นประเด็นนำไปโต้กลับหักล้างของกลุ่มการเมืองที่เคยถูกตราหน้าก่อนหน้านี้ว่าเป็นต้นตอของปัญหาความวุ่นวายความไม่สงบที่ผ่านมา 

เมื่อหลักฐานที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นว่า อาวุธสงครามเหล่านี้ส่วนหนึ่งมีที่มาที่ไปจากทางเจ้าหน้าที่​ เหลือเพียงแค่ว่าต้องติดตามสืบหาว่า อาวุธที่หลุดลอดออกมานั้นเคยนำไปก่อเหตุที่ไหนอย่างไรบ้าง

​หากจำได้ก่อนหน้านี้ในช่วงมีเหตุระเบิด เหตุป่วน ทางเจ้าหน้าที่ออกมาระบุว่ามีเบาะแสข้อมูล และอยู่ระหว่างการสืบสาวไปถึงเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง รวมทั้งกำลังติดตามนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

ทว่า เวลาผ่านไปนอกจากจะไม่อาจสืบสาวหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้แล้ว ยังไม่มีการออกมาสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของใคร อาวุธที่ใช้มาจากไหน

รวมทั้งยังไม่อาจสกัด ป้องปรามเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง จนถูกมองว่าเป็นการท้าทาย ลูบคม ​คสช. ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ยังเป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้

อีกทั้งจะเห็นว่า การตรวจพบอาวุธสงครามทั้งสองเหตุการณ์นี้ก็มาจากความบังเอิญ ไม่ใช่มาจากการข่าวที่ติดตามความเคลื่อนไหวจนนำมาสู่การจับกุมอาวุธล็อตใหญ่

หาก​ยังไม่สามารถคลี่คลายสกัดวงจรค้าอาวุธที่มีทหารเข้ามาเกี่ยวข้องได้แล้ว นี่อาจเพิ่มน้ำหนักให้ข้อครหาเรื่องทหารเป็นผู้ก่อเหตุสร้างสถานการณ์วุ่นวายเสียเอง เพื่อนำไปเป็นเหตุอ้างในการอยู่ในอำนาจต่อไป