บึ้มป่วนเมืองบทพิสูจน์ฝีมือ คสช.
สุดท้าย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ออกมาสรุปว่า เหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติคล้ายกับที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สุดท้าย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ออกมาสรุปว่า เหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา จนมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย เป็นเหตุระเบิดคล้ายกับที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า ถนนราชดำเนิน เมื่อเดือนที่แล้ว และมีลักษณะการประกอบระเบิดคล้ายกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2550-2551
ต่างกันสิ้นเชิงจากก่อนหน้านี้ ที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ออกมาการันตีว่าเป็นเพียงแค่ท่อพีวีซีแตก ไม่ใช่การวางระเบิด เพราะไม่พบเขม่าดินปืนหรือดินระเบิดแต่อย่างไร
จากการตรวจสอบจากหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (EOD) พบไอซี ไทม์เมอร์ โพแทสเซียมคลอเรต และท่อน้ำพีวีซี เป็นส่วนประกอบวัตถุระเบิด ลักษณะการก่อเหตุคล้ายเหตุระเบิด
ข้อมูลจากชุดสืบสวนยังสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนร้ายคนเดียวกันที่วางระเบิดหน้าสำนักงานสลากฯ เก่าที่มีความเชี่ยวชาญการประกอบระเบิด โดยครั้งล่าสุดมือระเบิดประกอบให้มีขนาดเล็กกว่าระเบิดหน้าสำนักงานสลากฯ เก่า หลังเกิดระเบิดแล้วชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบก็ถูกระเบิดไปด้วยไม่เหลือหลักฐานเหมือนกับเหตุที่สำนักงานสลากฯ
อีกทั้งยังทำให้ตรวจไม่พบสารประกอบระเบิด รวมทั้งวัสดุหุ้มดินระเบิดอาจถูกทำลายไปพร้อมกัน
สัญญาณชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เหตุท่อพีวีซีแตกธรรมดา เพราะหลังเกิดเหตุทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล มอบหมายทั้งฝ่ายสืบสวนและฝ่ายมั่นคงไปสำรวจจุดเสี่ยง จุดล่อแหลมต่อการเกิดอาชญากรรมและจุดล่อแหลมต่อความมั่นคง และติดตั้งกล้องซีซีทีวีเพิ่มเติม 204 จุด 498 ตัว ครอบคลุมพื้นที่ 2 กม.จากท้องสนามหลวง ที่จะใช้เวลาดำเนินการทั้งหมด 4 เดือน
ทั้งนี้ ยังเพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในเดือน ต.ค.นี้
ระหว่างที่ต้องรอกระบวนการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์หาสารสกัดที่แฝงอยู่ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าว่ามีสารระเบิดหรือไม่ แต่ทาง พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผบก.พฐก. ออกมาระบุว่าหากสารที่หลงเหลืออยู่น้อยมากก็อาจไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งจะใช้เวลาตรวจสอบ 1-2 วัน
ประเด็นอยู่ที่หากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นระเบิดขึ้นมาจริงๆ แม้ผู้ก่อเหตุไม่ได้ประสงค์จะเอาชีวิต แค่หวังสร้างสถานการณ์ความปั่นป่วน แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างรุนแรง
ประการแรก ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ คสช. การปล่อยให้เกิดเหตุป่วนเช่นนี้ย่อมตอกย้ำถึงความหละหลวมในการทำงานของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่อาจหาทางสกัดกั้นได้
ประการที่สอง ตอกย้ำความล้มเหลวของการข่าวที่ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำซาก เรื่อยมาตั้งแต่ช่วงแรกหลังรัฐประหาร ไล่มาตั้งแต่ระเบิดที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยามสแควร์ มาจนถึงระเบิดที่สะพานตากสิน ที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจขยายผลหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
ที่ผ่านมาจะเห็นการบุกค้น คุมตัว ยึดอาวุธ หลายรายการ ตั้งท่าแข็งขันสืบสวน เชื่อมโยงไปยังผู้ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุป่วน หลายครั้งที่สรุปแบบเร่งด่วนว่าเกี่ยวพันไปถึงกลุ่มเสื้อแดง แต่ทว่าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจตัดวงจร ป้องกันเหตุป่วนได้อย่างเด็ดขาด และที่สำคัญไม่อาจสกัดเหตุป่วนที่จะเกิดขึ้นได้
ประการที่สาม การออกมาให้ข่าวของเจ้าหน้าที่ที่ดูจะขัดแย้ง ไร้ความเป็นเอกภาพและไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่กว่าที่ควรจะเป็น
ยิ่งล่าสุด ทาง พล.ต.ท.ศานิตย์ ออกมากลับลำแบบ 360 องศา ชี้แจงว่าก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าไม่ใช่เหตุระเบิดนั้น เป็น “กลยุทธ์” สับขาเพื่อหลอกให้คนร้ายตายใจ แต่แท้จริงแล้วตำรวจทำงานกันในทางลับ ซึ่งเป็นกลยุทธ์อีกส่วนหนึ่ง หลักฐานส่วนประกอบระเบิดก็พบในคืนเกิดเหตุเลย
ไม่ต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรี ที่รีบออกตัวแต่แรกว่า “ไม่ได้ป่วน” แต่รุ่งขึ้นกลับออกมาชี้แจงว่า หากยึดโยงไปถึงใครก็จะต้องไปหาตัวกันต่อไป แต่ตอนนี้ยังไม่กล่าวหาใคร
“ทุกคนรู้ว่าประเทศไทยกว้างใหญ่ไพศาล และเจ้าหน้าที่และเทคโนโลยีก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง ประชาชนก็ต้องช่วยกันระวัง อย่ามองว่าไม่ใช่ธุระของตัวเอง อย่าคิดว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว เพราะยังมีคนไม่ดีอยู่ ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ยังมีครั้งอื่นๆ ตามมา ย่อมกัดเซาะความเชื่อมั่นที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่รวมกับการเร่งคลี่คลายทำความจริงให้ปรากฏ และนำตัวคนผิดมาดำเนินคดี ซึ่งล้วนแต่เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของ คสช.ต่อไป