posttoday

บึ้มป่วนเมืองบทพิสูจน์ฝีมือ คสช.

18 พฤษภาคม 2560

สุดท้าย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ออกมาสรุปว่า เหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติคล้ายกับที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สุดท้าย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ออกมาสรุปว่า เหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา จนมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย เป็นเหตุระเบิดคล้ายกับที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า ถนนราชดำเนิน เมื่อเดือนที่แล้ว และมีลักษณะการประกอบระเบิดคล้ายกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2550-2551

ต่างกันสิ้นเชิงจากก่อนหน้านี้ ที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ออกมาการันตีว่าเป็นเพียงแค่ท่อพีวีซีแตก ไม่ใช่การวางระเบิด เพราะไม่พบเขม่าดินปืนหรือดินระเบิดแต่อย่างไร  

จากการตรวจสอบจากหน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (EOD) พบไอซี ไทม์เมอร์ โพแทสเซียมคลอเรต และท่อน้ำพีวีซี เป็นส่วนประกอบวัตถุระเบิด ลักษณะการก่อเหตุคล้ายเหตุระเบิด

ข้อมูลจากชุดสืบสวนยังสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนร้ายคนเดียวกันที่วางระเบิดหน้าสำนักงานสลากฯ เก่าที่มีความเชี่ยวชาญการประกอบระเบิด โดยครั้งล่าสุดมือระเบิดประกอบให้มีขนาดเล็กกว่าระเบิดหน้าสำนักงานสลากฯ เก่า หลังเกิดระเบิดแล้วชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบก็ถูกระเบิดไปด้วยไม่เหลือหลักฐานเหมือนกับเหตุที่สำนักงานสลากฯ

อีกทั้งยังทำให้ตรวจไม่พบสารประกอบระเบิด รวมทั้งวัสดุหุ้มดินระเบิดอาจถูกทำลายไปพร้อมกัน

สัญญาณชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เหตุท่อพีวีซีแตกธรรมดา เพราะหลังเกิดเหตุทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล มอบหมายทั้งฝ่ายสืบสวนและฝ่ายมั่นคงไปสำรวจจุดเสี่ยง จุดล่อแหลมต่อการเกิดอาชญากรรมและจุดล่อแหลมต่อความมั่นคง และติดตั้งกล้องซีซีทีวีเพิ่มเติม 204 จุด 498 ตัว ครอบคลุมพื้นที่ 2 กม.จากท้องสนามหลวง ที่จะใช้เวลาดำเนินการทั้งหมด 4 เดือน   

ทั้งนี้ ยังเพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในเดือน ต.ค.นี้

ระหว่างที่ต้องรอกระบวนการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์หาสารสกัดที่แฝงอยู่ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าว่ามีสารระเบิดหรือไม่ แต่ทาง พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผบก.พฐก. ออกมาระบุว่าหากสารที่หลงเหลืออยู่น้อยมากก็อาจไม่สามารถตรวจพบได้ ซึ่งจะใช้เวลาตรวจสอบ 1-2 วัน

ประเด็นอยู่ที่หากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นระเบิดขึ้นมาจริงๆ แม้ผู้ก่อเหตุไม่ได้ประสงค์จะเอาชีวิต แค่หวังสร้างสถานการณ์ความปั่นป่วน แต่ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างรุนแรง

ประการแรก ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ คสช. การปล่อยให้เกิดเหตุป่วนเช่นนี้ย่อมตอกย้ำถึงความหละหลวมในการทำงานของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ปล่อยให้เกิดเหตุเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่อาจหาทางสกัดกั้นได้ 

ประการที่สอง ตอกย้ำความล้มเหลวของการข่าวที่ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำซาก เรื่อยมาตั้งแต่ช่วงแรกหลังรัฐประหาร ไล่มาตั้งแต่ระเบิดที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยามสแควร์ มาจนถึงระเบิดที่สะพานตากสิน ที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจขยายผลหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี

​​ที่ผ่านมาจะเห็นการบุกค้น คุมตัว ยึดอาวุธ หลายรายการ ตั้งท่าแข็งขันสืบสวน เชื่อมโยงไปยังผู้ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุป่วน หลายครั้งที่สรุปแบบเร่งด่วนว่าเกี่ยวพันไปถึงกลุ่มเสื้อแดง แต่ทว่าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจตัดวงจร ป้องกันเหตุป่วนได้อย่างเด็ดขาด และที่สำคัญไม่อาจสกัดเหตุป่วนที่จะเกิดขึ้นได้

ประการที่สาม การออกมาให้ข่าวของเจ้าหน้าที่ที่ดูจะขัดแย้ง ไร้ความเป็นเอกภาพและไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่กว่าที่ควรจะเป็น

ยิ่งล่าสุด ทาง พล.ต.ท.ศานิตย์ ออกมากลับลำแบบ 360 องศา ชี้แจงว่าก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าไม่ใช่เหตุระเบิดนั้น ​เป็น “กลยุทธ์” สับขาเพื่อหลอกให้คนร้ายตายใจ แต่แท้จริงแล้วตำรวจทำงานกันในทางลับ ซึ่งเป็นกลยุทธ์อีกส่วนหนึ่ง หลักฐานส่วนประกอบระเบิดก็พบในคืนเกิดเหตุเลย

ไม่ต่างจาก ​พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรี ที่รีบออกตัว​แต่แรกว่า “ไม่ได้ป่วน” แต่รุ่งขึ้นกลับออกมาชี้แจงว่า หากยึดโยงไปถึงใครก็จะต้องไปหาตัวกันต่อไป แต่ตอนนี้ยังไม่กล่าวหาใคร

“ทุกคนรู้ว่าประเทศไทยกว้างใหญ่ไพศาล และเจ้าหน้าที่และเทคโนโลยีก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง ประชาชนก็ต้องช่วยกันระวัง อย่ามองว่าไม่ใช่ธุระของตัวเอง อย่าคิดว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว เพราะยังมีคนไม่ดีอยู่ ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกประเทศ”​ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

​ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ยังมีครั้งอื่นๆ ตามมา ย่อมกัดเซาะความเชื่อมั่นที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่รวมกับการเร่งคลี่คลายทำความจริงให้ปรากฏ และนำตัวคนผิดมาดำเนินคดี ซึ่งล้วนแต่เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของ คสช.ต่อไป