posttoday

เตะตัดขา ‘ศิลปอาชา’ โดดเดี่ยว ‘เพื่อไทย’

09 พฤษภาคม 2560

พรรคชาติไทยพัฒนา นับเป็นพรรค การเมืองพรรคหนึ่งที่มีตำนานและประวัติศาสตร์อยู่คู่กับการเมืองไทยเป็นเวลาหลายสิบปี

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

พรรคชาติไทยพัฒนา นับเป็นพรรค การเมืองพรรคหนึ่งที่มีตำนานและประวัติศาสตร์อยู่คู่กับการเมืองไทยเป็นเวลาหลายสิบปี โดยเป็นพรรคการเมืองที่มีนายกรัฐมนตรีถึงสองคน ได้แก่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ บรรหาร ศิลปอาชา

เดิมทีพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้ชื่อนี้ ในการทำกิจกรรมทางการเมือง เพราะเมื่อก่อนเป็น “พรรคชาติไทย” แต่ปรากฏว่าในปี 2551 เกิดเหตุการณ์ยุบพรรคการเมืองถึงสามพรรคและพรรคชาติไทยต้องตกเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่ว่านั้น ทำให้ต้องตั้งพรรคและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นชื่อที่เห็นในปัจจุบัน

การยุบพรรคในครั้งนั้นนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพรรคการเมืองแห่งนี้ แต่พรรคต้องมาเจอจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ยิ่งกว่าทุกครั้งเมื่อปี 2559 ภายหลัง “บรรหาร” ผู้ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคต้องมาจากไปอย่างกะทันหัน

ผ่านมา 1 ปีจนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่าพรรคชาติไทยพัฒนายังเป็นพรรคการเมืองที่ไร้ผู้นำ ยังไม่มีความชัดเจนว่าพรรคจะมีทิศทางในการทำงานการเมืองอย่างไรต่อไป

แม้ที่ผ่านมาบรรดาทายาทของครอบครัวศิลปอาชาจะประกาศเดินหน้าขอทำงานการเมืองต่อไป แต่ก็มีคำถามตัวใหญ่ๆ ผุดขึ้นมาว่าจะพาพรรคชาติไทยพัฒนาผ่าคลื่นลมไปอย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่พร้อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ด้วยเหตุนี้เองที่ผ่านมาจึงเกิดกระแสข่าวว่าพรรคชาติไทยพัฒนาอาจจะมีการไปรวมกับพรรคเพื่อไทย

“ยืนยันว่าพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้มีไว้ขายหรือมีไว้เซ้ง เพราะพรรคไม่ใช่บริษัทจำกัดที่ทำธุรกิจเพื่อรอวันควบรวมกิจการ พรรคชาติไทยพัฒนา คือ ความภูมิใจของทุกคน ดังนั้นหากมีการขายจริงก็เท่ากับเป็นการทรยศต่อจิตวิญญาณของบรรหาร

พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นพรรคการเมืองใหญ่ แต่เราเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางและเล็กเท่านั้น นโยบายของพรรคที่วางไว้จะต้องสามารถขับเคลื่อนในสิ่งที่เป็นไปได้” วราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายคนเดียวของบิ๊กเติ้งออกโรงยืนยัน

ทั้งนี้ ถ้ามองถึงความเป็นไปได้ในการรวมกันของสองพรรคการเมืองนี้ ต้องยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ยากพอสมควร เนื่องจากพื้นที่ทางการเมืองในการเลือกตั้งมีความทับซ้อนกันอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคกลาง อาทิ จ.สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี และนครสวรรค์ ไม่เว้นแม้แต่ภาคอีสานบางจังหวัด

เท่ากับว่าหากเอามารวมกันจะนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งในพรรคพอสมควร อีกทั้งยิ่งจะทำให้เป็นเป้าทางการเมืองให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีด้วย

ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาจึงน่าจะดำรงความเป็นพรรคการเมืองต่อไป และหากจะทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย น่าจะเป็นในลักษณะของพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนอดีตที่ผ่านมาแทน

อีกทั้งในกลุ่มผู้บริหารพรรคชาติไทยพัฒนาต่างคุยกันและตกลงเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าจะขอทำงานการเมืองในพรรคเดิมต่อไป โดยไม่ขอไปควบรวมกับพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

กระแสข่าวที่เกิดขึ้นมาจากการโยนหินถามทางเพื่อสกัดพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ให้ไปร่วมทำงานกับพรรคเพื่อไทย เพราะต้องยอมรับว่าพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคเพื่อไทยต่างมีความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ดีต่อกัน

กล่าวคือต้องไม่ลืมว่าในยุคทักษิณ ชินวัตร เป็นมหาอำนาจการเมืองไทยนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาเคยไปร่วมเป็นรัฐบาลถึงสองครั้ง ทั้งในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทย

ถึงจะมีช่วงหนึ่งที่พรรคชาติไทยพัฒนาตีตัวออกห่างจากพรรคเพื่อไทยผ่านการบอยคอตเลือกตั้ง หรือการไปร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นทำไปตามน้ำเพราะสถานการณ์พาไปให้พรรคชาติไทยพัฒนาต้องทำเช่นนั้น

จากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นทำให้เริ่มมีการวิเคราะห์กันว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าทั้งสองพรรคนี้จะกลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันอีก ซึ่งตามแผนของฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทยต้องการทำให้พรรคเพื่อไทยถูกโดดเดี่ยวในทางการเมือง จึงต้องวางแผนสกัดตั้งแต่ต้นลม

ยังไม่ทันที่กติกาการเลือกตั้งจะเสร็จสมบูรณ์ แผนสกัดดาวรุ่งก็เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว ดังนั้นนับจากนี้ไปสถานการณ์ทางการเมืองจะดุเดือดขึ้นกว่านี้แน่นอน