แช่แข็งพรรคการเมือง สกัดป่วน เพิ่มเสถียรภาพ คสช.
สัญญาณชัดเจนจาก พล.อ.ประยุทธ์ออกมา “ดับฝัน” นักการเมืองด้วยการไม่ “ปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองออกมาเคลื่อนไหวหรือจัดกิจกรรมได้ แถมยังขู่ว่าจะใส่ล็อกเพิ่มอีกชั้น
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สัญญาณชัดเจนจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมา “ดับฝัน” นักการเมืองด้วยการไม่ “ปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองออกมาเคลื่อนไหวหรือจัดกิจกรรมได้ แถมยังขู่ว่าจะใส่ล็อกเพิ่มอีกชั้น
“พอถึงเวลาก็วุ่นวาย ขอปลดล็อก มันยังไม่ปลดล็อกตัวเอง แล้วจะไปปลดใครได้ ผมก็ไม่ปลดล็อกให้หรอก วันนี้ต้องร่วมมือกันก่อน จะทำให้ปลดล็อกทุกคนได้หมด ถ้าไม่ร่วมมือ ไม่ฟัง ไม่แสดงความคิดเห็น เอาแต่ได้ ผมก็ไม่ปลดล็อก แต่จะใส่ล็อกเพิ่มขึ้นอีกชั้นด้วย”
ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างไร เพราะท่าทีจากฝั่ง คสช.แสดงออกมาอย่างต่อเนื่องว่ายังไม่คิดจะเปิดทางให้นักการเมืองออกมาเคลื่อนไหวหรือดำเนินกิจกรรมการเมืองได้อย่างอิสระ
แม้ก่อนหน้านี้พรรคการเมืองต่างๆ จะพากันออกมาเรียกร้องขอให้สามารถเคลื่อนไหวได้บ้างอยู่หลายรอบ
แม้จะไม่ใช่การเปิดช่องเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หรือออกมาวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นกับทุกเรื่องได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยก็ขอให้จัดประชุมหรือระดมความคิดเห็น ตลอดจนรับเงินบริจาคหรือสมัครสมาชิกพรรคได้บ้าง เพื่อไม่ให้สิ่งที่ทำมาต่อเนื่องต้องหยุดชะงัก หรือส่งผลเสียหายกระทบไปถึงระบบการทำงานของแต่ละพรรคการเมืองในอนาคต ในวันที่การเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที
แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ คสช.ยอมปลดล็อก พรรค การเมืองและนักการเมืองจึงยังอยู่ในสภาพสุญญากาศในช่วงที่บ้านเมืองยังอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
ครั้งหนึ่งเคยวิเคราะห์กันว่า ในช่วงเวลาก่อนเปิดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ทาง คสช.คงจะยินยอมเปิดช่องให้พรรคการเมืองได้ขยับเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดความเห็นในกฎกติกาสูงสุดของประเทศ
ทว่า สุดท้าย คสช.ยังปิดตายไม่ให้พรรคการเมืองได้ออกมาแสดงความคิดความเห็นหรือประชุมพรรคเพื่อหาข้อสรุปและจุดยืนเพื่อชี้แจงต่อประชาชน ตรงกันข้ามด้วยกฎระเบียบที่ออกมาคุมเข้มเพิ่มเติมในช่วงก่อนประชามติยิ่งสะกดไม่ให้พรรคการเมืองกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่
ตอกย้ำสิ่งที่ คสช.วิตกกังวลมาโดยตลอด นั่นก็คือการปล่อยให้พรรค การเมืองเคลื่อนไหวได้อิสระย่อมนำมาสู่แรงเสียดทานที่จะย้อนกลับมายัง คสช.อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ในมุมของ คสช.ย่อมเห็นว่า ลำพังแค่มีกฎเหล็กควบคุมไว้อยู่แล้วแต่ก็ยังมีนักการเมืองบางกลุ่มที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ตลอดจนเรื่องต่างๆ จนสั่นคลอนเสถียรภาพของ คสช.อยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็รุนแรงจนฉุดความเชื่อมั่นและคะแนนนิยมให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ยังไม่รวมกับเรื่องการแสดงออกผ่านรูปแบบการชุมนุมที่จะปะทุตามมาทันที หลังถูกสะกดไว้มาตลอดช่วงเวลาเกือบสองปีตั้งแต่หลังรัฐประหาร ซึ่งจะยิ่งทำให้บรรยากาศบ้านเมืองกลับไปสู่ความวุ่นวาย
ที่สำคัญอาจทำให้เป็นโอกาสให้กับมือที่สามที่คอยจ้องสร้างสถานการณ์ใช้ความวุ่นวายที่เกิดเข้าผสมโรงจนรุนแรงเกินกว่าที่ คสช.จะเข้าไปควบคุมดูแลได้
ยิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายปลายโรดแมป คสช.ย่อมต้องหาทางควบคุมตัวแปร หรือปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนออกให้หมด เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สู้อุตส่าห์ทำมาทั้งหมดต้องพังทลายก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้
ครั้งนี้ก็เช่นกันแรงกดดันจากพรรค การเมืองเริ่มมากขึ้นกับข้อเรียกร้องขอให้ คสช.ปลดล็อกเพื่อทำกิจกรรมและเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อเตรียมตัวลงสนามเลือกตั้งในห้วงเวลาที่เหลืออยู่แค่ปีกว่า
ด้วยกฎกติการูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือทั้งตั้งแต่ระบบสมัครสมาชิกพรรคเรื่อยไปจนถึงกลไกการเลือกตั้งแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนย่อมต้องใช้การปรับตัวและเตรียมตัวอย่างมาก จำเป็นต้องขอให้คสช.เร่งเปิดช่องให้พรรคการเมืองขยับเพื่อเตรียมตัวได้ทัน
แต่สัญญาณล่าสุดจาก พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจนว่าคงไม่ทำตามคำขอของพรรคการเมืองเร็วๆ นี้
ชั่งน้ำหนักแล้วแรงกดดันจากพรรค การเมืองที่ออกมาเรียกร้องรอบนี้ ย่อมไม่มีพลังมากไปกว่าที่ผ่านมา แถมอำนาจต่อรองหรือพลังของพรรคการเมืองก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ คสช.ต้องรับฟัง
ยิ่งในวันที่ประชาชนส่วนหนึ่งก็มีความเห็นที่ออกจะเห็นดีเห็นงามกับการที่สะกดไม่ให้พรรคการเมืองออกมาเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายในสังคมเสียด้วยซ้ำ
การเปิดให้พรรคการเมืองออกมาขยับได้ในช่วงสุดท้าย หลัง พ.ร.บ.พรรค การเมือง ออกมาแล้วจึงอาจจะเป็นทางเลือกที่ดูจะปลอดภัยต่อเสถียรภาพของ คสช.และช่วยให้ทุกอย่างเดินไปตามโรดแมปได้อย่างไม่สะดุด