ขจัดข่าวลือ บทพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล
ท่ามกลางความโศกเศร้าของพสกนิกรทั่วประเทศ กระแสข่าวลือหลายอย่างกระพือเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแถมยังไร้ทิศทางการควบคุมป้องกัน
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ท่ามกลางความโศกเศร้าของพสกนิกรทั่วประเทศ กระแสข่าวลือหลายอย่างกระพือเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแถมยังไร้ทิศทางการควบคุมป้องกัน ในขณะที่การออกมาชี้แจงนำเสนอข้อเท็จจริงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับยังล่าช้าไม่ทันการณ์
ยิ่งการสื่อสารยุคปัจจุบันหลายเรื่องมีต้นทางมาจากการแชร์หรือโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งยากต่อการตรวจสอบความถูกต้อง หรือที่มาที่ไป แต่กระจายได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง ยิ่งทำให้ข่าวลือแพร่สะพัดได้อย่างกว้างขวาง
ที่สำคัญข่าวลือที่แชร์ต่อๆ กันในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายเรื่องบานปลายจนกระทบต่อความมั่นคงที่สุ่มเสี่ยงจะสร้างปัญหาในอนาคต โดยไม่มีหน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงสร้างความกระจ่างหรืออธิบายข้อเท็จจริง
ในช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้สงครามข่าวสารจึงเป็นเรื่องใหญ่และเป็นบทพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลรวมทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ย้อนไปก่อนหน้านี้จะเห็นว่าทิศทางการทำงานของภาครัฐดูจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับ และปล่อยให้หลายต่อหลายเรื่องเงียบหายไปอย่างไร้คำอธิบายถึงที่มาที่ไป ไม่ต้องพูดถึงหาต้นตอคนปล่อยข่าวมาเอาผิด
หากจำได้ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีข่าวเกิดขึ้นในทำนองเพื่อหวัง “ทุบหุ้น” จนหุ้นตกอย่างหนักก่อนขยับขึ้นมาท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความตั้งใจให้เกิดขึ้นเพื่อทำกำไรจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ต่อมาแม้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาชี้แจงว่า อย่าไปฟังข่าวลืออะไรให้มากนัก ขอให้นักลงทุนมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย เชื่อว่าทุกคนเป็นห่วงในสุขภาพของพระองค์ท่าน แต่ในเรื่องข่าวลือต่างๆ ขอให้ฟังจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว อย่าตกเป็นเหยื่อของคนที่ชอบปล่อยข่าวลือเพื่อทุบหุ้น เพื่อแสวงหาประโยชน์
“ต่างชาติเขารอคอยจะเก็บหุ้น แต่คนไทยกลับทุบหุ้นกันเอง อย่ากังวลอะไรจนเกินไป ให้มั่นใจในประเทศไทย กระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์มีการหารือและดูแลเป็นอย่างดี ไม่ต้องตกใจ”
พร้อมระบุว่า ให้ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดูว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวทุบหุ้น ซึ่งเรื่องนี้ควรจะทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อนอกจากจะทำให้เกิดความชัดเจนถูกต้องแล้ว ยังป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้อีกในอนาคต
ยังไม่รวมกับข่าวลืออีกหลายเรื่องที่ตามมาหลังจากการออกมาแจ้งเตือน “ก่อการร้าย” จากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ว่าการข่าวแจ้งเตือนถึงความเป็นไปได้ที่มีความพยายามจ้องก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่ทางฝั่งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงหรือทำความกระจ่าง หรือแม้แต่อธิบายถึงที่มาที่ไป ตลอดจนความคืบหน้าหลังการแจ้งเตือน ซึ่งต่อมามีทั้งการข่าวการติดตามตัว
บุกค้น ตามสถานที่ต่างๆ แต่กลับไม่มีคำชี้แจงว่าเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายอย่างไร
รวมไปถึงข่าวการจับกุมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหลายจุดที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียที่ยังไม่มีความชัดเจนจากทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ หรือเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อการร้ายอย่างไร
หรือล่าสุดกับข่าวคราวหลังความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนทั้งประเทศ ที่ต่อมาเกิดกระแสข่าวต่างๆ ตามมามากมายโดยเฉพาะเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่สื่อต่างประเทศยังมีความสงสัยในหลายประเด็น จนนำเสนอข้อมูลบางอย่างที่คลาดเคลื่อน
ปัญหาตรงนี้ทำให้ทาง วิษณุเครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกทาง เสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และตัวแทนจาก อสมท มาทำความเข้าใจแนวทางการประชาสัมพันธ์ ตามแนวทางสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อทำให้เกิดความชัดเจน ทั้งการขึ้นสืบราชสมบัติ การบรมราชาภิเษก
อีกด้านหนึ่งยังเริ่มปรากฏข่าวแพร่สะพัดเรื่องการแอบอ้างขอให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีสวดพระอภิธรรมศพ โดยเสียค่าใช้จ่ายคืนละ 2 หมื่นบาท ซึ่งต่อมากรมประชาสัมพันธ์ ออกประกาศเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อความที่แอบอ้างในสังคมออนไลน์
สถานการณ์เวลานี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญติดตามกระแสข่าวที่แพร่สะพัด หากพบความผิดพลาด บิดเบือน ต้องเร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจให้ถูกต้องไม่ให้บานปลายลุกลามเป็นปัญหาในอนาคต
แน่นอนรัฐบาลเองก็เข้าใจและรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นถึงขั้นมอบหมายให้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด มานั่งรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
การทำงานด้านข้อมูลข่าวสารเวลานี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของรัฐบาล